ผู้เขียน: เอกภพ สิทธิวรรณธนะ
Journal reflexion สถานการณ์การดูแลผู้ป่วยระยะยาวในประเทศไทย
อ่านบทความวิจัยนี้ {Sasat, 2013 #849} แล้วพบว่า สถานการณ์การดูแลผู้ป่วยเรื้อรังระยะยาวในไทยมีปัญหาอีกมากมายก่ายกอง มีงานให้ทำอีกมาก ปัญหาตั้งแต่ปี 2013 น่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
จากการนับประชากรสถานดูแลผู้ป่วยระยะยาว 5 รูปแบบ ได้แก่ สถานจัดสวัสดิการผู้สูงอายุภาครัฐ Assisted Living, บ้านพักคนชรา, โรงพยาบาลดูแลผู้ป่วยระยะยาว, และ ฮอซพิซแคร์ พบปัญหาหลักๆ ได้แก่
- การดูแลผู้ป่วยแต่ละแบบ มีความทับซ้อนกัน ผู้ป่วยเรื้อรัง ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยพิการ ผู้ป่วยสมองเสื่อม ผู้ป่วยระยะท้าย อยู่รวมกัน ทำให้ความต้องการพิเศษไม่ได้รับการตอบสนอง การไม่แยกประเภทผู้ได้รับบริการทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาอีกมาก
- เริ่มจาก บุคลากรสุขภาพที่ให้การดูแลตามความต้องการไม่เพียงพอ (เช่น ทุกที่ต่างมีปัญหาผู้ป่วยสมองเสื่อม แต่นักบำบัดหรือฟื้นฟูผู้ป่วยสมองเสื่อมไม่ได้มีในทุกแห่ง) ด้านหนึ่งเป็นเพราะการให้คำนิยาม และการกำหนดเกณฑ์การให้บริการที่ไม่ชัด และภาครัฐไม่ได้มีมาตรการกำหนดมาตรฐาน หรือเกณฑ์สถานดูแลผู้สูงอายุให้ชัดเจน ทำให้สถานดูแลทั้งห้าแบบ รับผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ผู้ดูแลระยะยาว และผู้ป่วยระยะสุดท้ายมาทั้งหมด
- หรืออาจจะเป็นเพราะการบริหารจัดการ หรือการสนับสนุนไม่เพียงพอ ทำให้พบว่าบริการ Long Term Care Service มีผู้ให้บริการที่ไม่เพียงพอ ผู้ให้ความช่วยเหลือด้านกิจกรรมประจำวันที่น้อยเกินไป พยาบาลน้อยมาก ไม่ต้องพูดถึงนักบำบัดอื่นๆ ที่กลายเป็นของหายากไปเลย
- ปริมาณเจ้าหน้าที่ที่ไม่เพียงพอ การไม่จำแนกประเภทผู้ป่วย การขาดการประเมินสถานการณ์สุขภาพของผู้รับบริการ การจัดฝึกอบรมที่ไม่เพียงพอทำให้เจ้าหน้าที่รับภาระงานที่หนักมากเกินไป มีปากเสียงกับผู้รับบริการ (ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ) ส่งผลต่อทัศนคติที่ไม่ดีต่อผู้ป่วยและผู้สูงอายุ ทำให้คุณภาพการดูแลแย่ลงไปอีก
- ข้อเสนอคือ ภาครัฐต้องมีมาตรการควบคุม มีเกณฑ์จำแนก การกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการให้บริการ จากนั้นสนับสนุนสถานบริการให้มีคุณภาพที่ดีเพียงพอ เช่น การฝึกอบรมเพิ่มศักยภาพของเจ้าหน้าที่
สิ่งที่เห็นจากบทความคือ การขาดหายไปของมาตรการควบคุมและสนับสนุนคุณภาพของสถานบริการดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วยระยะยาว ผู้ป่วยระยะสุดท้าย เนื่องจากสถาบันเหล่านี้มีส่วนช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มผู้มีปัญหาสุขภาพดังกล่าวได้มาก แต่ยังไม่มีงานที่วิพากษ์ว่าทำไมคุณภาพของการควบคุมคุณภาพของสถานบริบาลผู้ป่วยระยะยาวกลุ่มนี้จึงมีไม่มาก ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่มีประสิทธิภาพ ขณะที่ความรุนแรงของปัญหา สังคมขาดผู้ดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และคนใกล้ตายมานานมากเป็นเวลานานแล้ว
Sasat, S., Choowattanapakorn, T., Pukdeeprom, T., Lertrat, P., & Aroonsang, P. (2013). Long-term care institutions in Thailand. Journal of Health Research, 27(6), 413-418. https://www.tci-thaijo.org/index.php/jhealthres/article/view/88736
Book Review สุขภาพทางปัญญา: จิตวิญญาณ ศาสนา และความเป็นมนุษย์
หนังสือ สุขภาพทางปัญญา: จิตวิญญาณ ศาสนา และความเป็นมนุษย์ กล่าวถึงมิติจิตวิญญาณไว้ในหลากหลายความหมาย ทั้งนี้ นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ อธิบายคำว่าสุขภาพทางจิตวิญญาณหรือสุขภาพทางปัญญาในลักษณะของการทำความเข้าใจคำๆ นี้เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ โดยการทำความเข้าใจสุขภาพจิตวิญญาณส่วนใหญ่ผ่านมุมมองด้านศาสนา และยังมีจุดอ่อนในการอธิบายมิติจิตวิญญาณจากแง่มุมที่ไม่ใช่ศาสนา
ชิ้นส่วนที่น่าสนใจในหนังสือเล่มนี้ คือการแจกแจงและพรรณาของลักษณะของสุขภาพทางจิตวิญญาณที่มีหลากหลายมิติ อันสามารถทำให้ผู้อ่านเข้าใจสุขภาพทางจิตวิญญาณได้มากขึ้น จากการค้นคว้าของ วิลเลียม เจมส์ (1961) ที่เสนอว่าจิตวิญญาณมีฐานคติจาก
- ความเชื่อว่าโลกที่เรารู้จักเป็นเพียงส่วนเสี้ยวของระบบจักรวาลแห่งสรรพชีวิตขนาดใหญ่ เรื่องเล่านี้ทำให้ชีวิตของเรามีความสำคัญและมีความหมาย
- เป้าหมายที่แท้ของชีวิตคือการทำให้ชีวิตและโลกเป็นหนึ่งเดียว สอดคล้อลกลมกลืน
- การภาวนา หรือการปฏิบัติด้านจิตวิญญาณ เป็นวิธีผสานชีวิตให้เป็นหนึ่งเดียวและสอดคล้องกลมกลืนกับระบบจักรวาลนั้น
- การเข้าถึงความจริงดังกล่าว จะทำมาซึ่งปิติสุขของชีวิต เป็นของขวัญของชีวิต
- การเข้าถึงมิติจิตวิญญาณเป็นหลักประกันความสุข ทำให้ชีวิตมีความอ่อนโยน มีความรัก เมตตาต่อสรรพสิ่ง
ในท้ายเล่ม นพ.โกมาตรยังสรุปสาระสำคัญของสุขภาพทางจิตวิญญาณไว้หลายประการ โดยมิติสุขภาพนี้ (นอกเหนือจากสุขภาพทางกาย สังคม จิตใจ) มุ่งเน้นไปถึง “ชีวิตที่ดีงาม” “ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์” “การเติบโตด้านใน” โดยการเข้าถึงเป้าหมายนี้ สามารถเข้าถึงได้หลายวิธีทั้งวิธีที่อิงคำสอนทางศาสนา และไม่อิงคำสอนทางศาสนา
ข้อดีของการเข้าถึงสุขภาพทางจิตวิญญาณด้วยวิธีที่อิงศาสนาคือ ศาสนาอุดมไปด้วยเรื่องเล่า มีสาธก ระบบแบบแผนคำอธิบายที่ศาสนิกมีความคุ้นเคยและผ่านการสั่งสมเรื่องเล่า และชุดภาษาทางศาสนาตั้งแต่เยาว์วัย ส่วนการเข้าถึงสุขภาพทางจิตวิญญาณที่ไม่อิงกับศาสนา ต้องอาศัยคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ จิตวิทยา หรือผลการศึกษาทางวิชาการ การเข้าถึงสุขภาพทางจิตวิญญาณผ่านช่องทางอย่างหลังจึงดูจะไม่ค่อยมีสีสัน ต้องอาศัยความคิด และไม่ค่อยเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึก แต่ข้อดีคือไม่มีอคติด้านศาสนามาเป็นกำแพงในการเข้าถึงสุขภาพทางจิตวิญญาณ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ข้าพเจ้าสนใจและไม่อยู่ในหนังสือ คือความสำคัญของการทำความเข้าใจสุขภาพในมิติจิตวิญญาณอันมีผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยระยะสุดท้าย และคุณภาพการตาย โดยในช่วงเวลาวิกฤตของชีวิตดังกล่าว สุขภาพทางจิตวิญญาณอาจไม่ใช่เรื่องกว้างๆ เป็นนามธรรมหรือเป็นวิชาการ แต่ส่งผลโดยตรงต่อการวางใจ การยอมรับความพลัดพรากสูญเสีย และต่อการเผชิญความตายที่กำลังมาถึงในเวลาไม่นาน การทำความเข้าใจสุขภาพทางจิตวิญญาณในช่วงที่เวลาชีวิตเหลือน้อยเต็มทีน่าจะกรององค์ประกอบที่ไม่จำเป็นเกี่ยวกับสุขภาพทางจิตวิญญาณออกไปได้มาก เหลือการปฏฺิบัติที่ช่วยให้ผู้เผชิญความสูญเสียผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤตได้อย่างไม่ทุกข์ทรมาน ท่ามกลางความเคารพ ความเข้าใจ และความกรุณา
อ้างอิง
James, W. (2003). The varieties of religious experience: A study in human nature. Routledge.
โกมาตรจึงเสถียรทรัพย์ และ นภนาทอนุพงษ์พัฒน์. (2560). สุขภาพทางปัญญา: จิตวิญญาณ ศาสนา และความเป็นมนุษย์. สำนักงานคณะกรรมการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ. นนทบุรี.

นิยามสุขภาวะทางจิตวิญญาณจากวารสาร Health, Spirituality and Medical Ethics
การนิยามว่าสุขภาวะทางจิตวิญญาณคืออะไร เป็นปัญหาตลอดมา จากประสบการณ์ของผมปัญหาด้านการนิยามคำนี้ได้แก่
1. สุขภาพทางจิตวิญญาณเป็นนามธรรม
2. เป็นคำนิยามที่อิงกับศาสนา ซึ่งในโลกที่เป็นคามนิยม อันประชากรจำนวนมาก (คาดว่าประมาณครึ่งหนึ่ง) อยากให้ความรู้ไม่ผูกพันพึ่งพิงกับศาสนา ประเด็น “จิตวิญญาณ” จึงอยู่ในสถานะที่อิลักอิเลื่อ
3. วัดได้ยาก
4. อยู่ภายใต้บริบทวัฒนธรรม อธิบายข้ามวัฒนธรรมได้ยาก
5. คนเข้าใจจิตวิญญาณ มักต้องมีประสบการณ์ทางจิตวิญญาณมาก่อน
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่สุขภาพทางจิตวิญญาณเป็นความจริงที่จับต้องได้จริงๆ และมีผลต่อความผาสุก (well being) ของคนที่เคยมีประสบการณ์ทางจิตวิญญาณและศาสนา (ครึ่งหนึ่งของประชากรโลกนี่ก็เยอะเหมือนกันนะครับ) การทำนิยามนี้ให้ชัดเจนก็เป็นเรื่องจำเป็น
เมื่อคืนผมเปิดอ่านวารสารจิตวิญญาณ สุขภาพ และจริยธรรม ก็มีคณะบรรณาธิการช่วยกันให้คำนิยาม ซึ่งก็ให้คำนิยามได้น่าสนใจ เขาอยากพาให้คำว่าสุขภาพทางจิตวิญญาณมีความชัดเจน ครอบคลุม และใช้กันได้ข้ามวัฒนธรรม ก็เลยนิยามเสียว่า
Spiritual health is defined as satisfactions, as well as inner feelings and beliefs accompanied by constructive relationships with self, others, a higher power, or God within the specific cultural framework of each society, which results in the meaningfulness of life and death.
Solhi M, Fattahi E, Pouresmaeil M, Darvishigilan H, Rastaghi S. (2019)
สุขภาพทางจิตวิญญาณหมายว่า ความรู้สึกส่วนลึกและความเชื่อ ที่เป็นผลจากการร่วมกันสรรค์สร้างของทั้งตนเอง ผู้อื่น และพลังอำนาจที่เหนือพ้นตัวตน เช่น พระเจ้า หรืออำนาจอื่นใดที่วัฒนธรรมหรือสังคมนั้นๆ เสนอกรอบไว้ โดยความรู้สึกหรือความเชื่อนั้นได้ทำให้ชีวิตและความตายเปี่ยมไปด้วยความหมาย
แม้นิยามนี้จะยังคงติดอยู่ในปัญหาที่ข้าพเจ้าเสนอไว้ข้างต้น คือ ยกให้ “อำนาจเหนือพ้นตัวตน” เป็นเรื่องของแต่ละวัฒนธรรมที่จะไปกำหนดนิยามกันเอง และไม่ได้อภิปรายต่อว่า จะกำหนดขอบเขตสังคมอย่างไร ใครจะเป็นผู้กำหนดนิยาม กำหนดนิยามด้วยวิธีการใด และมันจะใช้ได้มากน้อยเพียงใด
แต่นิยามนี้ก็มีข้อดี คือช่วยสลายขั้วของความเป็นศาสนานิยม หรือคามนิยมไปได้
นิยามนี้ดูจะช่วยประนีประนอมในลักษณะว่า 1) สุขภาพทางจิตวิญญาณ 2) อำนาจเหนือพ้นตัวตน และ 3) ความหมายของชีวิตและความตายมีอยู่จริง แต่เป็นเรื่องของแต่ละสังคมวัฒนธรรมที่จะต้องไปหา “กรอบแห่งสุขภาพทางจิตวิญญาณ” กันเอาเอง นิยาม มาตรฐาน แบบทดสอบ ก็เป็นเรื่องที่แต่ละสังคมคงต้องสร้างและทดลองหากันไป
Solhi M, Fattahi E, Pouresmaeil M, Darvishigilan H, Rastaghi S. The Letter to Editor: A Comprehensive Definition of Spiritual Health. Health Spiritual Med Ethics. 2019;6(3):2.
ป้องกันแล้ว:ประเด็นปัญหาสุขภาพในบริบทสังคมระดับชาติของประเทศไทยในปัจจุบันและทิศทางการวิจัยด้านสุขภาพในระดับชาติ
PHPCI2019 (5) Photo-Voice สรุปงานผ่านภาพถ่าย
ไม่รู้ว่าผมจะพูดถึงการประชุมครั้งนี้ไปอีกกี่ตอน คือมันมีเรื่องให้แชร์เยอะน่ะครับ
ที่ออสเตรเลีย นอกจากการโปรโมทชุมชนกรุณาเพื่อการอยู่และตายดีในทางวิชาการแล้ว การโปรโมทที่ดีที่สุดคือการสร้างชุมชนกรุณาให้เกิดขึ้นจริง ทั้งเพื่อป้องกันและแก้ปัญหาเรื่องการรับมือความสูญเสียเพื่อเป็นตัวอย่างศึกษา และเพื่อทดสอบดูว่าแนวคิดอุดมคตินั้นมีช่องว่าง มีข้อท้าทาย มีปัญหาให้ต้องพัฒนาต่อยอดอย่างไรบ้าง
ทีมทำงานด้าน Palliative Care Australia เลยทำโปรเจค Groundswell ขึ้นมา โปรเจคนี้ทำเรื่องชุมชนกรุณาในหลายด้าน หนึ่งในนั้นคือการสร้างพื้นที่ชุมชนกรุณาในชุมชนต่างๆ ตอนนี้มี 12 แห่ง ทั่วออสเตรเลีย
ในช่วงเริ่มต้น โปรเจคพัฒนาชุมชนนี้จ้างนักพัฒนาชุมชนมาเป็นผู้ประสานงานกับทางชุมชนและโรงพยาบาลพยายามสนับสนุนให้มีกิจกรรมที่ส่งเสริมคอนเซปชุมชนกรุณา ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของการสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน การจัดกิจกรรมสร้างความตระหนักเรื่อง Palliative Care รวมทั้งการจัดเทศกาลชีวิตและความตายเล็กๆ ขึ้นในท้องถิ่น อะไรก็แล้วแต่ให้ชุมชนตื่นตัวเรื่องนี้
โปรเจคนี้ก็ทำวิจัยแสนเก่ง หยิบจับอะไรก็ทำให้เป็นงานวิจัยได้หมด อย่างเช่นเรื่องการประชุมสรุปงานประจำเดือน ทีมGroudseก็อาศัยเทคนิค Photo-Voice เพื่อเป็นเครื่องมือและสื่อกลางการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงาน รวมทั้งเช็คความรู้สึกของทีม ว่าเป็นยังไงบ้าง ยังไหวอยู่ไหม
Photo-Voice ไม่ได้ซับซ้อนอะไร คือก่อนจะมาประชุมกัน ทีมส่วนกลางก็ให้บุคลากรในทีมพื้นที่เลือกภาพมาสัก 2-3 ภาพ เอามาเป็นภาพตั้งต้นเอาไว้ชวนคุย ภาพนั้นจะปร้ินท์จากกูเกิ้ล หรือ Stockphoto ก็ได้ (บางภาพยังติดลายน้ำมาอยู่เลย) หรือบางคนจะปริ้นท์ภาพจากที่ถ่ายไว้ในมือถือ หรือภาพถ่ายจากกล้องก็ได้ (สดดี) ส่วนใหญ๋ก็ให้ความร่วมมือกันดี
ทีมกลางเขาบอกว่าวิธีนี้ใช้ไดผลอย่างน่าสนใจ เพราะเพื่อทีมต้องเลือกภาพก่อนประชุม ก็เหมือนได้เช็คความรู้สึก ได้เตรียมเรื่องราวมาแลกเปลี่ยนก่อนวันนัด สำหรับคนที่เขินอาย ไม่ชอบคุย ทีมกลางก็ใช้ภาพเป็นสื่อชวนคุยได้
องค์ประกอบและสัญลักษณ์ในภาพ ยังสะท้อนถึงสภาวะภายในที่หลากหลายของทีมทำงาน เช่น ภาพโต๊ะทำงานที่รกมากของเจ้าหน้าที่ (ซึ่งช่วยบอกทีมงานส่วนกลายกลายๆ ว่าคนทำงานกำลังจะไม่ไหวแล้วนะ) เครื่องหมายคำถามแสดงออกถึงความลังเลไม่แน่ใจในโครงการ ภาพแบ่งเค้กสะท้อนความไม่ไว้วางใจเกี่ยวกับการจัดสรรทุนทำงาน
“มือ” คือสัญลักษณ์ที่คนทำงานชอบใช้มาเป็นสื่อชวนคุย มีทั้งมือที่กุมกัน มืออาสาขอช่วยเหลือ ภาพมือที่ชวนกันปรุงอาหารมากเกินไปจนกลายเป็นความสับสนวุ่นวาย
ผู้นำเสนอสรุปว่า การใช้เทคนิค Photo-Voice ให้ภาพช่วยส่งเสียง มีข้อดีหลายอย่าง ทีมบริหารโครงการเองได้รับเสียงสะท้อน (feedback) ที่จริงใจมากขึ้น เปิดใจมากขึ้น สนับสนุนให้ผู้ประสานงานในพื้นที่ กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่ตัวเองทำอยู่ ภาพถ่ายยังทำหน้าที่เป็นอุปมาส่งเสียงสะท้อนภายในที่อาจทำได้มากกว่าการเล่า (เพราะบางคนอาจเล่าไม่เก่ง) ทำให้คนในทีมประชุมเข้าใจกันมากขึ้น ภาพที่เอามาคุยยังเก็บเป็นเอกสารได้ง่าย ขณะเดียวกัน การสรุปงานแบบ Photo-Voice ยังเป็นกิจกรรมสนับสนุนคนทำงานในลักษณะทำ Support Group ส่งเสริมกำลังใจกันได้ดี
อย่างไรก็ตาม คนที่ทำหน้าที่ปร้ินท์ภาพคือทีมวิจัยจากส่วนกลางนะครับ เพราะการอัดภาพก็เป็นกิจกรรมที่ต้องลงแรงและมีรายละเอียดพอควรทีเดียว
อ้างอิง
จากการนำเสนอผลงานวิชาการเรื่อง Narratives from the field: Using photo-voice to document, explore and advocate for compassionate community work โดย Prof. Debbie Horsfall วันที่ 19 ต.ค. 2019 Fairmont resort, Leura, NSW, AUS
ลิงค์เพิ่มเติม https://www.thegroundswellproject.com
ป.ล. หากใครอยากฟังเสียงบันทึกที่ผมกับพี่สุ้ยคุยสรุปกันไว้ ก็ขอเชิญได้ที่ Podcast Bangkoknoi Book Review ตอนพิเศษ PHPCI ที่https://www.podbean.com/eu/pb-uggih-c30271
PHPCI 2019 (4) บทบาทของศิลปะในงานประชุมวิชาการ PHPCI
อาจด้วยแนวคิดว่า Public Health and Palliative Care มีลักษณะพิเศษสองอย่าง คือ 1) ทำงานกับอารมณ์ ความรู้สึก ซึ่งเป็นมิติของมนุษย์ และ 2) Inclusiveness สร้างการมีส่วนร่วมจากวิชาชีพอื่นนอกเหนือจากนักวิชาการและบุคลากรสุขภาพ งานประชุมครั้งนี้จึงมีพื้นที่ให้กับศิลปิน นักการละคร นักดนตรี รวมทั้งบุคลากรสุขภาพที่เป็นศิลปิน
ในสูจิบัตร มีกรอบพิเศษที่เตือนให้ผู้เข้าร่วมรู้ว่า มีงานแสดงศิลปะที่มุมใดบ้างของงาน มีทั้งงานแสดงภาพถ่าย ภาพจิตรกกรรม งานแสดงผืนผ้าตัดเย็บ ที่เกี่ยวกับความสูญเสีย มีงานศิลปะจัดวางแบบมีส่วนร่วมในชื่อ Something Blue ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้หยิบวัสดุสีฟ้า วัสดุธรรมชาติ หรือเขียนบทกวีหรือจัดวางรูปภาพไว้ เป็นมุมให้เราได้ทำสมาธิ ระลึกถึง และแสดงความเศร้าได้

หรือถ้าอยากทำงานกับความเศร้ามากกว่านี้ ศิลปินนักสร้างสรรค์ประสบการณ์ Peta Murray ได้จัดแสดงงานศิลปะที่ชื่อ Vigil (การเฝ้าไข้) ชิ้นงานคือห้องเยี่ยมไข้ ที่มีเตียงคนไข้เปล่าๆ กับบรรยากาศของการเฝ้าอันโศกสลัว
ห้องนี้ศิลปินอนุญาตให้เข้าชมครั้งละคน คนละไม่เกิน 20 นาที ผู้เข้าชมจะได้ย้อนรำลึกถึงอดีตที่เกี่ยวข้องกับการดูแลซึ่งอาจมีบางสิ่งติดค้าง ต้องการทบทวน ใคร่ครวญ ทำสมาธิ หรือไว้อาลัย ศิลปินยังเตรียมคำถามสำหรับการสะท้อนย้อนคิดด้วยตัวเอง รวมทั้งกระดาษทิชชู่ให้ด้วย ที่ประตูห้องศิลปินยังทำป้ายติดไว้ด้วยว่าขณะนี้ห้องว่างไหม ผู้ใช้ห้องจะได้รู้สึกปลอดภัย ปลดปล่อยประสบการณ์ได้อย่างเต็มที่

ริมทางเดินไปห้องประชุมใหญ่ ยังมีชุด Multimedia เสนอ Storytelling ในธีม Live: Moving ที่พูดถึงประสบการณ์ของผู้พิการลักษณะต่างๆ ที่อยู่ร่วมกับความเจ็บป่วยได้อย่างอยู่ดีมีสุข ใกล้ๆ จุดนำเสนอวีดีโอ มีฟลิตชาร์ตให้เขียนสะท้อนความรู้สึก

ในห้องประชุมใหญ่ จัดแสดงชุดตัดเย็บจากวัสดุรีไซเคิล พูดถึงว่าเราจำเป็นต้องดูแลชายหาดออสเตรเลียให้สะอาด เอื้อต่อสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลมากกว่านี้
ในระหว่างที่บางคนชอบการประชุมที่มีเนื้อหาให้รู้คิดมากมาย ผู้จัดงานประชุมเตรียม Session สำหรับผู้เข้าร่วมที่ต้องการซึมซับดื่มด่ำอารมณ์ความรู้สึก ดังเช่นใน Session ที่ชื่อ Dicision, Dying and Death ของ Joanne Roseman บุคลากรสุขภาพทำงานดูแลผู้ป่วยที่ต้องเผชิญกับคุณพ่อที่ประสบภาวะสมองเสื่อม เธอเล่าเรื่องการดูแลของคุณพ่อผ่านสไลด์ภาพถ่าย ประกอบกับอุปกรณ์ดูแลคุณพ่อของจริง เช่น กระเป๋าเสื้อผ้า ภาพถ่าย ของเล่น วิทยุฯลฯ การเล่าเรื่องของเธอเปี่ยมด้วยพลังราวกับชมละครเวที

หรือใน Session ถัดมา ที่ชื่อ Last Waltz ของนักแสดงละคร Rose Sexton ขึ้นมาแสดงละครเดี่ยว พูดถึงสภาพจิตใจของทั้งคนไข้และผู้ดูแลในยามเผชิญวาระสุดท้ายของชีวิต เรื่องราวที่เธอแสดง คือการย่อยเนื้อหาการเผชิญความตายที่ค่อนข้างคลาสสิกของทั้งผู้ป่วยสูงอายุอยากกลับบ้าน และหลานสาวจากแดนไกลผู้ตัดสินใจยื้อชีวิตของคุณแม่บุญธรรมให้นานที่สุด Sexton ถ่ายทอดเรื่องราวที่ซับซ้อนให้เข้าใจได้ง่าย และประทับใจยาวนาน
ผมเองยังได้มีส่วนร่วมในงานแสดงศิลปะในงาน เพราะมีผู้จัดงานแอบเห็นงานสเก็ตช์ที่ผมวาดระหว่างการเข้าร่วมประชุมแล้วชอบ เขาส่งข้อความมาขอแสดงภาพของผมในงานประชุม ผู้ประสานงานก็น่ารัก ช่วยเขียนคำโปรยให้ว่า “กำแพงภาพวาดที่ขยายตัวได้ งานสเก็ตช์สีน้ำสดจากงานประชุมและการแสดง PHPCI” ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มีส่วนร่วมในงาน และเห็นปฏิบัติการของคำว่า Inclusive ที่ผู้จัดงานแสดงให้เห็นเป็นประจักษ์

ยังมีเทศกาลศิลปะที่จัดขึ้นที่ชุมชนใกล้เคียงในชื่อ From the Brink: A Fringe Festival about Ageing, Dying, Grieving and Our Community ซึ่งจัดขึ้นคู่ขนานไปกับงานประชุม PHPCI ที่เมืองใกลเคียง ในงานมีการแสดงสดบ้าง แสดงดนตรี ศิลปะ และเสวนาบ้าง งานแสดงยังดึงคนในชุมชนให้ตามมาดูงานศิลปะที่สถานที่จัดประชุม ขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้เข้าร่วมงานประชุมได้เห็นปฏิบัติการจริงของการสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างระบบบริการสุขภาพกับชุมชน ผ่านเทศกาลศิลปะ
เราอาจมาถึงยุคที่ทีมวิชาการจัดงานประชุมต้องโทรเชิญศิลปิน ยุคที่งานวิชาการคือ Installation art ยุคที่ความรู้และสุนทรียภาพไม่แยกจากกัน
PHPCI 2019 (3) Digital Storytelling
เรื่องเล่าดิจิตอล หรือ Digital Storytelling เป็นงานนำเสนอทางวิชาการที่กระจายอยู่ทั่วการประชุมนานาชาติด้านการสาธารณสุขและการดูแลแบบประคับประคอง Public Health and Palliative Care 2019 ที่ออสเตรเลีย
ด้วยเสน่ห์ของงานวิจัยแบบนี้ที่เสพง่าย (และมีวีดีโอให้ดู) วิทยากรเพียงเกริ่นถึงกรณีผู้ให้ข้อมูลในวีดีโอ เปิดวีดีโอให้ชม และตอบคำถามช่วงท้ายเท่านั้น ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่ง Auckland จึงมีวีดีโอเรื่องราวของนานาชีวิตผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในวงการ Palliative Care ให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้ชม เราจึงได้รับรู้เรื่องราวจากผู้ป่วย ผู้พิการ ผู้ดูแล ผู้สูงอายุ หรือแม้แต่ผู้ป่วยระยะท้ายในฮอซพิซ ในมุมมองที่หนึ่ง (เจ้าตัวเป็นผู้เล่าเอง) เป็นครั้งแรกๆ
เรื่องเล่าดิจิตอล แม้ดูเผินๆ อาจเข้าใจว่าคือวีดีโอสารคดีชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับชีวิตผู้ป่วย แต่ที่จริงแล้ว ในทางญาณวิทยา เรื่องเล่าดิจิตอล ต่อยอดจากระเบียบวิธีวิจัยแบบเรื่องเล่า (Narrative Inquiry) ที่ให้ความสนใจกับประสบการณ์ของผู้เล่าเรื่องที่มักเป็นผู้อยู่ชายขอบของสังคม หากเป็นการวิจัยแบบเรื่องเล่าดั้งเดิม เรื่องเล่าจะอยู่ในรูปบันทึกเรื่องเล่า โดยวิจัยจะสร้างพื้นที่ปลอดภัย สร้างสัมพันธภาพกับผู้เล่าเรื่อง แล้วฟังประสบการณ์วิกฤตของผู้เล่าเรื่อง ปล่อยให้ผู้เล่าได้เปิดเผยเรื่องราวชีวิตของตนเองอย่างพรั่งพรูออกมาโดยนักวิจัยแทรกแซงให้น้อยที่สุด
แต่ในปัจจุบัน คนอ่านบันทึกเรื่องเล่าจากงานวิจัยกันน้อยลง นักวิจัยจึงต้องเรียนรู้ที่จะใช้สื่อใหม่อย่างสื่อดิจิตอล มาเป็นเครื่องมือทำเรื่องเล่า นักวิจัยทีมนี้สนใจประสบการณ์ของผู้สูงอายุ ผู้ดูแล ผู้สูงอายุกลุ่มชาติพันธุ์ รวมทั้งผู้ป่วยระยะท้ายที่มีต่อการรักษาแบบประคับประคอง
เริ่มจากรับสมัครกลุ่มคนเล่าเรื่อง ให้มาเล่าชีวิตของตนเองในพื้นที่ที่ผู้เล่าเรื่องรู้สึกปลอดภัย นักวิจัยอาจเตรียมหัวข้อของเรื่องเล่าง่ายๆ เช่น “สิ่งที่ทำให้คุณมีความสุข” ผู้เล่าก็จะเล่าออกมา ระหว่างเล่า ทีมวิจัยซึ่งมีทั้งนักวิชาการ ทีมถ่ายวีดีโอ ทีมตัดต่อ จะช่วยกันฟัง และเสนอว่าจะเล่าให้ออกมาเป็นภาพเคลื่อนไหวอย่างไร ฟุตเตจมีคำสัมภาษณ์ การถ่ายชีวิตประจำวันของผู้เล่าเรื่อง การสอดแทรกภาพถ่ายที่ผู้เล่าเรื่องเตรียมมา (และอื่นๆ เท่าที่จะหาฟุตเตจมาได้) คนตัดต่อก็ตัดต่อไป ตัดเสร็จก็ถามทวนกับผู้เล่าว่าแบบนี้ไหม จนกระทั่งได้ชิ้นงาน Digital Storytelling ออกมาชิ้นหนึ่ง ซึ่งต้องเล่าให้จบภายใน 2-4 นาที ตามสมาธิอันจำกัดของคนยุคนี้
งานนำเสนอที่น่าสนใจมากๆ คือ ผลงาน Digital Storytelling ของผู้ป่วยสมองเสื่อม แม้ในผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องความจำและเล่าเรื่องได้ไม่ปะติดปะต่อนัก แต่นักวิจัยก็อาศัยความเพียรในการถามซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าป้าต้องการเล่าอย่างนี้ใช่ไหม กว่าจะได้สคริปเรื่องเล่าหนึ่งหน้าเอสี่ก็หมดค่ารถไปหลายเที่ยว งานชิ้นนี้จึงเป็นข้อพิสูจน์ว่า แม้ในผู้ป่วยที่มีอุปสรรคด้านการสื่อสาร ขอเพียงเราต้องการฟังเสียงของเขาจริงๆ ในที่สุดเสียงของเขาก็จะส่งมาถึงเราได้
เรื่องเล่าดิจิตอลที่ไปไกลกว่านั้นคือ การทำเรื่องเล่าของผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านการพูด นักวิจัยก็ใช้เสียงสังเคราะห์จากเครื่องช่วยพูดมาพูดแทน หรือแม้แต่ในผู้ป่วยระยะสุดท้ายในฮอซพิซ ซึ่งมีข้อห้ามเกี่ยวกับการบันทึกภาพที่เข้มข้นที่สุด Digital Storytelling ก็ยังเล่าเรื่องของพวกเขาออกมาได้
การปรากฏขึ้นของเรื่องเล่าดิจิตอล มีเรื่องที่น่าอภิปรายว่า แม้คนกลุ่มนี้จะเป็นผู้รับบริการในระบบสุขภาพกลุ่มหลัก แต่บุคลากรรสุขภาพมักไม่ค่อยได้ยินเสียงสะท้อนจากพวกเขาเท่าใดนัก (ทั้งข้อเสนอแนะและคำขอบคุณ) เหตุที่ไม่ได้ยินเพราะความอ่อนไหวแห่ง “จริยธรรมการวิจัย” ซึ่งมักเป็นตัวปิดกั้นให้นักวิจัยถอดใจที่จะศึกษาเรื่องเล่าของผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผู้ป่วยสมองเสื่อม ผู้ป่วยกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้สูงอายุในบ้านพักคนชรา ฯลฯ
นักวิจัยทีมนี้พบว่า ผู้ป่วยหลายคนยินดี ต้องการรให้ร่างกายของตนปรากฏแก่สาธารณะ งานวีดีโอหลายชิ้นช่วยคลายอคติเกี่ยวกับผู้ป่วยสมองเสื่อม (ว่าต้องมีแต่ภาพความชรา หง่อม และช่วยตัวเองไม่ได้) ลงได้จากภาพเคลื่อนไหวของผู้ป่วยที่ยังคงยิ้มแย้มแจ่มใส ทำกิจกรรมสังคมได้ และช่วยเหลือตัวเองได้ จากฟุตเตจเพียงไม่กี่วินาที
งาน Digital Storytelling ยังให้ผลดีด้านการขยายผลและสื่อสารงานวิจัยในวงกว้างเพราะเผยแพร่ง่ายและมีต้นทุนต่ำ ทั้งยังช่วยสร้างทัศนคติที่ดีความเจ็บป่วย ความแก่ ความเสื่อม และความตาย ด้วยเรื่องเล่าที่จับใจ ซาบซึ้ง และมีอารมณ์ขัน อันเป็นภารกิจหนึ่งของแนวคิดชุมชนกรุณา
ท่านใดที่สนใจ ลองตามไปดูโปรเจค ‘What Makes you Happy’ ได้จากทีมวิจัย Te Arai Research Group, Palliative Care & End of Life Research – New Zealand ได้ที่
https://tearairesearchgroup.org/…/what-makes-you-happy-vid…/
ป.ล. ทีมนี้นอกจากจะทำเรื่องเล่าดิจิตอลเก่งแล้ว ยังร้องเพลงเก่งด้วย
PHPCI2019 (2) Dying to Talk
บูทนำเสนอผลงานของ PHPCI2019 มิได้หรูหรานัก
บริเวณทางเดินและซอกเร้นของห้องโถงในโรงแรม คือพื้นที่ให้มูลนิธิ องค์กรไม่แสวงหากำไร ร้านค้าขายอุปกรณ์การแพทย์ หลักสูตรการเรียนการสอนด้านสาธารณสุขของมหาวิทยาลัยรัฐต่างๆ ในออสเตรเลีย โปสเตอร์เชิญเผยแพร่ผลงานตีพิมพ์ในวารสารสาธารณสุขและการดูแลแบบประคับประคอง รวมทั้งของขายจากสปอนเซอร์
บูทที่น่าสนใจเป็นของโครงการ Dying to Talk ซึ่งเป็นโปรเจคหนึ่งของหน่วยงาน Palliaitive Care Australia (ซึ่งได้รับการสนับสนุนทุนจากรัฐบาลออสเตรเลีย!) ดูเหมือนที่นี่จะเอาจริงเอาจังกับการผลิตเครื่องมือช่วยวางแผนสุขภาพล่วงหน้า (ACP – Advance Care Planning) เขามีทั้งคู่มือ Dying to Talk ที่มีหน้าตาคล้ายสมุดเบาใจ (มีให้ดาวน์โหลดด้วยนะ ลิงค์อยู่ด้านล่าง) แต่หน้าตาของกิจกรรมและการกรอกข้อมูลต่างกัน
เปิดดูคู่มือในเล่ม เราก็พอจะเห็นว่า ชาวออสซี่เขาช่างคิดช่างถาม กิจกรรมในคู่มือจึงดูเยอะ ซับซ้อน และให้ข้อมูลที่มากกว่า เปิดอ่านดูก็พลอยเพลียอยู่เหมือนกัน เป็นสมุดที่ต้องใช้เวลาและความเอาจริงเอาจังในการเขียนอยู่ไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม ใน Session หนึ่ง ผมก็ยังได้ยินว่า แม้ในออสเตรเลียที่มีการรณรงค์เรื่องการทำ ACP มาเยอะ แต่ประชาชนก็ยังทำกันน้อยอยู่ อย่างไรเสีย กิจกรรมรณรงค์วงกว้างก็คงต้องทำกันต่อไป
เครื่องมือชิ้นต่อมาในโปรเจค Dying to Talk คือ เกมการ์ดที่ชื่อ Dying to Talk Card แม้เขาจะตั้งชื่อว่าการ์ดเกม แต่ข้างในคือบัตรคำที่รวบรวมความต้องการที่ผู้ป่วยระยะท้ายส่วนใหญ่มีร่วมกัน จำนวน 46 ใบ เกมนี้พัฒนาต่อยอดมาจาก Go Wish Card (ซึ่งเป็นต้นแบบแรงบันดาลใจของไพ่ฤดูฝน) ใครอยากรู้วิธีเล่นก็ไปตามอ่านได้ดังลิงค์ด้านล่าง หรือไม่ก็เดินมาถามผมได้ถ้าเจอตัว
สิ่งที่น่ารักของโครงการชุมชนกรุณาออสเตรเลียคือ เขาหนักแน่นในเรื่องสังคมแห่งการนับรวมสมาชิกทุกกลุ่ม (inclusive) มากๆ Dying to Talk Card เลยมีเวอร์ชันสำหรับชาวอะบอริจินด้วย สิ่งที่แตกต่างคือ การ์ดความต้องการ จะออกแบบให้มีลักษณะเฉพาะที่ชาวอะบอริจินต้องการร่วมกัน คำศัพท์ภาษาอังกฤษก็จะง่ายกว่า พิมพ์อักษรตัวโต (เข้าใจว่าผู้ใช้คือผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่) ด้านหลังพิมพ์อาร์ตเวิร์คแบบอะบอริจิน แต่วิธีเล่นจะเหมือนกัน
เครื่องมืออีกชิ้นที่ช่วยในการชวนคุยคือการทำ “พินัยกรรมเชิงอารมณ์” หรือ Emotional Will อันนี้เป็นชุดกิจกรรมที่ชวนให้ผู้สนใจเรื่องการเตรียมตัวตาย มาสร้างสรรค์อะไรสักอย่างที่จะส่งต่อให้คนข้างหลังนอกเหนือจากมรดกทรัพย์สิน สิ่งตกทอดส่งต่อนั้นอาจเป็นผลงานศิลปะ หนังสืออัตตชีวประวัติ กวี เพลง วีดีโอ ภาพวาด ความเรียงฯลฯ เครื่องมือชวนคุยชิ้นนี้เริ่มจากศิลปะที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความตาย ดังนั้น คงไม่ใช่เรื่องยากเท่าใดนักหากในระหว่างการทำพินัยกรรมชนิดนี้ จะเติมมิติการวางแผนสุขภาพล่วงหน้าเข้าไปด้วย
เครื่องมือชิ้นสุดท้ายที่จะเล่าให้ฟังในวันนี้คือ Your Final Checklist มันคือเช็คลิสต์ง่ายๆ ที่ชวนสำรวจว่าก่อนตาย คุณเตรียมสิ่งเหล่านี้หรือยัง ทั้งเอกสาร (พินัยกรรม, Living Will, เอกสารประกันฯลฯ) การเตรียมคนรัก (การสื่อสาร, คำบอกลาคนรัก, คำสั่งเสียฝากฝังฯลฯ) การเตรียมงานศพ และอื่นๆ รายการเช็คลิสต์นี้ทำง่าย ไว้มีเวลาจะแปลแขวนไว้ในเว็บ Peaceful Death นะครับ
ผมคุยกับคนเฝ้าบูท เธอตื่นเต้นมากที่ประเทศไทยมีโปรเจคลักษณะนี้เหมือนกัน บอกให้ผมหยิบสิ่งที่ต้องการไปได้เลย (เลยหยิบการ์ดและคู่มือมาอย่างละชุด เตรียมเอามาแปรและประยุกต์กับเครื่องมือช่วยสื่อสารของเราเวอร์ชันต่อไป) มารู้เอาทีหลังว่าพนักงานเฝ้าบูทนี้มิใช่ธรรมดา เธอชื่อ Kelly Gourlay ทำงานกับ PCA เป็น วิทยากรพูดเรื่อง Public Health and Palliative Care: Are we pulling the right policy Levers? เธอเล่าการทำงานติดตามประเด็น Public Health and Palliative Care ในเอกสารนโยบายของราชการ ตอนบรรยายเธอดูเหนื่อยมากๆ เธอบอกว่างานมอนิเตอร์นโยบายต้องอาศัยความถึกอย่างมหาศาล แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะรู้ทิศทางนโยบาย จะได้เลือกใช้ถ้อยคำที่ถูกต้องเหมาะสมกับช่องรับฟังของผู้มีอำนาจทางนโยบาย และผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับแหล่งทุน
เวลามีคนถามเธอว่า “ชุมชนกรุณาคืออะไรฮึ?” คุณ Kelly จะไม่ตอบว่ามันคืออะไร แต่จะถามกลับว่า “เร็วๆนี้ คุณเพิ่งสูญเสียใครบ้างไหม” คำถามนี้จะเปิดประเด็นการอธิบายเรื่องชุมชนกรุณาได้ผลชะงัดนัก
ข้อมูลเพิ่มเติม
คู่มือ Dying to Talk
http://dyingtotalk.org.au/wp-content/uploads/sites/2/dlm_uploads/2018/09/Discussion_-Starter_Web-1.pdf
Dying to Talk Card
http://www.dyingtotalk.org.au/card-game/dying-to-talk-cards/
เอกสาร Final Checklist หาได้ใน
https://www.dyingtoknowday.org/
PHPCI 2019 (1) Talking Mats
ต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ผมได้ไปร่วมงาน PHPCI2019 หรือ Public Health and Palliative Care International Conference 2019 ซึ่งเป็นงานประชุมวิชาการตามหัวเรื่อง โจทย์ของการประชุมไม่ใช่เพียงการแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับการทำงานด้านงานดูแลแบบประคับประคองในแง่มุมของสาธารณสุขศาสตร์เท่านั้น แต่ยังถือเป็นกลไกหนึ่งที่จะทำให้การดูแลผู้ป่วยระยะท้ายแบบประคับประคอง เป็นวาระของคนทุกคนในชุมชน ในทุกประเทศทั่วโลก
การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่หก จัดครั้งแรกในปี 2009 ที่รัฐเกรละ ประเทศอินเดีย ต่อมาจัดที่ไอร์แลนด์ อังกฤษ แคนาดา และครั้งล่าสุดที่ออสเตรเลีย ผลงานสำคัญของ PHPCI เช่น การพัฒนากรอบคิด Compassionate Communities หรือชุมชนกรุณา การพัฒนา Commpassionate City Charter หรือกฎบัตรว่าด้วยเมืองกรุณา การประชุมครั้งล่าสุดมีผู้เข้าร่วม 375 คน จากกว่าสิบประเทศทั่วโลก
การประชุมใช้เวลา 4 วัน (13 – 16 ต.ค. 2562) ณ เมืองลอร่า รัฐนิวเซาท์เวล ประเทศออสเตรเลีย การประชุมอัดแน่นไปด้วยเนื้อหามากมาย ทั้งวิชาการ บันเทิง งานศิลปะ ผมเองได้ไปร่วมประชุมกับพี่สุ้ย (วรรณา จารุสมบูรณ์ ประธานกลุ่ม Peaceful Death) พยายามแยกห้องกันไปฟัง การเลือกว่าจะฟังห้องใดช่างยากลำบาก เพราะมีห้องย่อยถึง 7 ห้องในคราวเดียวกัน
ซีรีย์นี้ ผมเขียนสรุปเนื้อหาในธีมต่างๆ ธีมนี้ขอเสนอเรื่องที่ Peaceful Death สนใจมากที่สุดเสียก่อน คือ “เครื่องมือสื่อสาร Palliative Care และชุมชนกรุณา”
เครื่องมือสื่อสารที่หลากหลาย
การเสนอความรู้ใหม่ๆ ที่ได้จากการทำงานและการวิจัยของ PHPCI มีความผ่อนคลาย ง่าย และส่งเสริมกำลังใจ ผู้เข้าฟังประชุมส่วนใหญ่ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประโยชน์ในที่ประชุมทั้งนั้น (เพื่อนๆ ที่นั่งฟังด้วยกัน ถ้าไม่ใช่ผู้ร่วมจัด เป็นนักวิชาการในเครือข่าย ก็ล้วนเป็น Speaker ในงาน ที่เป็นตัวจริงเรื่อง Palliative Care แทบทั้งสิ้น)
ข้อค้นพบเล็กๆ น้อยๆ ใหม่บ้าง เก่าบ้าง ล้วนได้รับเกียรติให้นำเสนอในงานประชุม ความรู้เดิมที่รู้อยู่แล้ว ก็ได้รับการตอกย้ำว่าสำคัญจริง (เช่น การทำ Advance Care Plan เป็นเรื่องสำคัญ ต้องทำก่อนจึงจะได้รับการดูแลที่ดี ถ้าไม่ทำ บุคลากรสุขภาพจะลำบากใจในการสื่อสารสุขภาพช่วงสุดท้ายกับผู้ป่วยและครอบครัว และควรจะมีการรณรงค์ความตายพูดได้ในชุมชน) จนคิดว่า อันที่จริง สังคมไทยมีความรู้เกี่ยวกับการทำงานด้านนี้จำนวนมาก เสียดายที่เขียนบทคัดย่อส่งนำเสนอไม่ทัน มิฉะนั้นคงแลกเปลี่ยนความรู้ที่เรามีให้ประชาคมแห่งนี้ได้รับรู้กว้างขวางขึ้น
ในงานประชุม ผมได้เห็นความพยายามในการสร้างเครื่องมือช่วยในการสื่อสารด้าน Palliative Care ในชุมชนที่หลากหลาย ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อดิจิตอล และงานศิลปะ บทความนี้ขอกล่าวถึงเครื่องมือที่เป็นสิ่งพิมพ์
Talking Mats (เสื่อชวนคุย)
การทบทวนและวางแผนสุขภาพช่วงท้าย มีเครื่องมือช่วยหลายอย่าง อันล่าสุดได้รับการนำเสนอโดย Majory Mackay ในบทความชื่อ Using Talking Mats, a visual communication framework, to support people to think and plan ahead for the end of life.
ปัญหานี้เริ่มต้นจากการพยายามหาเครื่องมือชวนผู้ป่วย ผู้สูงอายุ และครอบครัว คุยเรื่องการวางแผนสุขภาพช่วงท้าย (Advance Care Planning) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ นอกเหนือจากการอบรมบุคลากรสุขภาพให้มีทักษะการคุย การใช้แนวคำถามชวนคุย ทางกลุ่ม Talking Mats มองว่า การใช้การ์รูปภาพ และข้อความสั้นๆ ชวนคุย น่าจะช่วยย่นระยะเวลาการคุย หรือทำให้กระบวนการคุยทำได้ง่ายขึ้น
กระบวนการนี้เป็นการชวนคุยแบบหนึ่งต่อหนึ่ง อุปกรณ์ชวนคุยคือชุดการ์ด Talking Mats
เริ่มต้นจากการสร้างระดับคะแนนว่าเรื่องนี้ชอบแค่ไหน ชอบ เฉยๆ หรือไม่ชอบ
จะมีชุดการ์ดชวนคุยอีก 3 ชุด ได้แก่ การจัดการทรัพย์สมบัติ การดูแลสุขภาพช่วงท้าย และการดูแลคุณค่าส่วนบุคคล การ์ดแต่ละชุดจะชวนให้ผู้เข้าร่วมจัดประเภทว่า อยากจัดการอะไรอย่างไร โอเคที่จะคุยและคิดเรื่องมรดกไหม โอเคที่จะคุยเรื่องการจัดงานศพไหม โอเคที่จะให้ดูแลช่วงท้ายที่บ้านไหม ถ้าชอบก็วางไว้ที่ตำแหน่งชอบ ถ้าไม่ชอบก็วางไว้ที่ตำแหน่งไม่ชอบ (เป็นอันรู้ว่าเรื่องนี้ไม่อยากได้ หรือไม่อยากคุย)
จัดวางตำแหน่งไพ่ไป ชวนคุยไปเรื่อยๆ แบบนี้ไปเรื่อยๆ แม้แต่ผู้ป่วยที่คิดว่าวางแผนไว้ดีแล้วก็ยังสะท้อนว่าคุยผ่านเครื่องมือนี้ดี ได้ทบทวนชีวิต ทำ Life Review ได้ดีชะงัด แต่เครื่องมือนี้ก็ยังต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะการใช้ข้ามวัฒนธรรม และตอนนี้ ชุดไพ่ก็ยังมีจำนวนหลายใบมากๆ (เห็นไพ่เป็นปึกเชียว ดูแล้วการชวนคุยน่าจะเหนื่อย ใช้เวลาอยู่ไม่น้อย) การพัฒนาเครื่องมือชนิดนี้จึงน่าจะทำได้อีกมาก ใครที่สนใจไปตามดูได้ที่เว็บไซต์ https://www.talkingmats.com แถมยังดาวน์โหลดแอพ iPad มาลองเล่นได้ด้วยนะ ที่ https://apps.apple.com/th/app/talking-mats/id691104842
เครื่องมือสื่อสารชิ้นอื่นๆ จะเป็นอย่างไร ติดตามตอนต่อไปได้ที่นี่ครับ
ป.ล.1 ผมกับพี่สุ้ยจะจัดเวิร์คชอป Promote ACP for Public วันที่ 15 พ.ย. 2562 นี้ ที่โรงแรมอโนมาครับ (มีค่าลงทะเบียน) ใครสนใจเข้าร่วมเชิญได้ที่เว็บ http://www.thaps.or.th/conference2019/
ป.ล.2 ไปดูกฎบัตรเมืองกรุณาได้ที่ http://media.wix.com/ugd/14d74a_d88d53e770bf4351a1cbb7d8dab2ba62.pdf






