เผาบาตร งานอดิเรก และฮาบิทัส

วัดที่ผมไปบวชในปี 2560 เป็นวัดป่าในภาคอีสาน กิจวัตรของพระที่นั่นไม่มาก การตื่นทำวัตรแต่เช้า บิณฑบาตรและฉันเสร็จภายในเวลาสิบโมงเช้า ทำให้มีเวลาเหลือเฟือสำหรับการปฏิบัติตลอดวัน จนกว่าจะถึงเวลาบ่ายสามโมง พระจึงจะออกจากกุฏิมาทำความสะอาดเสนาสนะ ทำวัตรเย็น ปฏิบัติธรรมช่วงค่ำ แล้วจำวัด

ตารางประจำวันเช่นนี้เอื้อให้พระปฏิบัติธรรมในรูปแบบได้มาก แต่ใช่ว่าพระทุกรูปจะชอบปฏิบัติธรรมในรูปแบบ พระเหล่านี้แทนที่จะมีเวลาปฏิบัติเหลือเฟือ จึงกลายเป็นว่ามีเวลาว่าง (leisure) อย่างเหลือเฟือเช่นกัน

เป็นที่รู้กันว่า ภาพลักษณ์ของพระที่ดีมีอยู่ไม่กี่อย่าง เพียงเป็นพระที่ไม่ก่อปัญหา สามารถสวดมนต์ในงานมงคลอวมงคลได้ก็นับว่าประเสริฐแล้ว แต่ถ้าจะยิ่งดีไปกว่านั้นคือ การเป็นพระที่ไม่เห็นแก่อามิส ไม่สะสมทรัพย์สมบัติ ก็จะยิ่งเป็นที่เลื่อมใส พระธรรมวินัยข้อหนึ่งจึงกำหนดให้พระสงฆ์จำกัดการถือครองทรัพย์ที่มีค่า เช่น กำหนดให้พระมีบาตรประจำตัวได้เพียงรูปละใบเท่านั้น

อาจเรียกได้ว่าการจำกัดจำนวนบาตรของพระ เป็นโครงสร้างชนิดหนึ่งในวัฒนธรรมย่อยของพระสงฆ์ ที่มุ่งให้พระมีความยินดีในความจน สมบัติควรจะมีเท่าที่พอจะประทังชีวิตได้ เป็นวินัยที่เอื้อให้พระไม่มุ่งแสวงหาลาภ ไม่ต้องห่วงพะวงกับการรักษาบาตร ข้อกำหนดยังปลีกย่อยครอบคลุมถึงวัสดุของบาตรพระที่ไม่ควรมาจากโลหะมีค่า เช่น ทอง หรือเงิน

กระนั้นโครงสร้างเกี่ยวกับบาตร ก็ไม่อาจจำกัดความสร้างสรรค์ในแสดงรสนิยมในบริโภคบาตรพระได้ ภายใต้พระธรรมวินัยอันเคร่งครัด พระสงฆ์ยังมีพลังอำนาจที่จะเจรจาต่อรอง (agency) กับสนาม (field) ซึ่งคือความเป็นสมณเพศและข้อธรรมวินัย ในสองรูปแบบได้แก่

1. การเลือกบริโภคบาตรที่มีวัสดุที่แตกต่าง มีเนื้อดี คงทน เบา ท่านอาจไปซื้อบาตรที่ชอบหรือมีคุณภาพดีจากร้านสังฆภัณฑ์ หรือท่านอาจสละบาตรเดิมของท่านแล้วขอบาตรใหม่จากพระที่ลาสิกขาไปรูปล่าสุด นอกจากนี้วัสดุตกแต่งบาตร เช่น สลกบาตร หรือขาบาตรที่มีคุณภาพ สวยงาม ยังมีอยู่ในห้องเก็บของของวัด หรือของวัดสาขาใกล้เคียง พระที่มีอายุพรรษามาก จึงมีแนวโน้มที่จะมีบาตรที่มีคุณภาพดีขึ้นๆ (เพราะพระบวชใหม่ที่มีฐานะ อาจมีบาตรคุณภาพสูงมาจากญาติโยม และเมื่อท่านลาสิกขา ก็มักถวายบาตรให้เป็นของสงฆ์ หรือถวายแด่พระพี่เลี้ยง)

บาตรที่เป็นวัสดุหายากหรือมีความหรูหรา เช่น บาตรแสตนเลส (เพราะไม่ขึ้นสนิม) บาตรสแตนเลสตีมือ (หรูข้ึนมาอีกเพราะแพงกว่า และมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนบาตรจากโรงงานอุตสาหกรรม) บาตรเคลือบเทฟลอน ส่วนบาตรไม้ จัดว่าเป็นของหรูหรามากๆ เพราะเบาและราขึ้นง่าย บาตรไม้จึงมักเป็นของครูบาอาจารย์ที่มีลูกศิษย์ดูแลเป็นการเฉพาะ

พระสงฆ์บวชใหม่ที่กำลังฝึกปฏิบัติและยังไม่เท่าทันความอยากนัก จึงยังมีพฤติกรรมการแสวงหาและครอบครองบาตรที่มีคุณภาพ ความโหยหาดังกล่าวจัดเป็นเครื่องฝึกกิเลสอย่างดี

2. การเผาบาตร ในพระวินัย การเผาบาตร นับเป็นกลวิธีหนึ่งที่ทำให้บาตรเสียรูปทรง มีตำหนิ อัปลักษณ์ และเสียความเป็นสมบัติหรือสิ่งมีค่าไป กรรมวิธีในการเผาบาตรคือ การใช้น้ำมันก๊าดมาเป็นเชื้อเพลิงในการเผาพื้นผิวของบาตรในถังน้ำมัน เผาบนเตา หรือกรรมวิธีอื่นใดตามตำราที่บอกต่อกันมารุ่นต่อรุ่น การเผาบาตรทำในช่วงที่พระมีเวลาว่าง (leisure) ซึ่งมีอยู่เหลือเฟือ มาใช้รวบรวมทรัพยากรให้พร้อม เช่น พระที่รู้กรรมวิธี และส่วนประกอบทางเคมีอื่นๆ ในการเผา

นอกจากนี้ การเผาบาตรยังอาจมีสถานะเป็นงานอดิเรก (hobby)ได้ด้วย เพราะเป็นกิจกรรมที่สนุก ได้สังสรรค์ ได้ลุ้นว่าบาตรที่ได้มาจะมีสีสันสวยงามอย่างไร การเผาบาตรยังช่วยเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างพระนักเผาบาตรและพระที่นำบาตรและอุปกรณ์มาให้เผา ทั้งยังเป็นกระบวนการสร้างความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ระหว่างพระนักเผาและพระใหม่ พระนักเผาบาตรเองยังสามารถพัฒนาฝีมือการเผาบาตรให้ดีขึ้นจากการรู้จักวัสดุ อุณหภูมิ ปริมาณและองศาการวางบาตรอีกด้วย

ขณะที่ผมบวช ผมไม่ค่อยพบเห็นการเผาบาตรของวัดในเมืองเท่าใดนัก แต่ที่วัดป่าที่ผมบวช การเผาบาตรเป็นกิจกรรมยามว่างที่สนุกสนาน และมีความหรูหราฟุ่มเฟือย เพราะต้องใช้น้ำมันก๊าดปริมาณมาก (เท่ากับขวดเหล้าหนึ่งหรือสองขวด) ใช้เวลาในการเผาและเฝ้ามอง บาตรที่ผ่านการเผาจึงมักจะถูกให้คุณค่าว่างดงาม มีเอกลักษณ์ หายาก เป็นสมบัติของพระที่มีพรรษายาวนาน ซึ่งท่านอาจจะต้องวางท่าทีให้เหมาะกับการครองบาตรเผามากขึ้น เช่น มีความสุขุมคัมภีรภาพ การวางบทบาทเป็นผู้แนะนำวัตรปฏิบัติให้รุ่นน้อง การให้คำชี้แนะกับชาวบ้านที่มาปรึกษา เป็นต้น

การเผาบาตร จึงแปรเปลี่ยนความหมายจากการส่งเสริมคุณธรรมแห่งความสันโดษ กลายเป็นการบริโภคความหรูหรา ซึ่งเป็นการเจรจาต่อรองกับโครงสร้างที่กำหนดให้พระยินดีในความสมถะ การเผาบาตรจึงเป็นปฏิบัติการ (practice) และยุทธวิธี (strategy) แห่งการต่อต้านโครงสร้างแห่งความสันโดษที่มีความย้อนแย้งที่น่าสนใจ พระนักเผาบาตรสามารถสร้างสัญญะของทั้งความสมถะและความหรูหราในขณะเดียวกัน อีกทั้งยังปฏิบัติตามพระวินัยและท้าทายพระวินัยในคราวเดียวกันด้วยการเผาบาตรยังเสริมสร้างทุนทางสัญลักษณ์ (symbolic capital) ของพระสงฆ์นักเผาและพระที่ครอบครองบาตรเผา ให้เป็นที่ยอมรับกันในแวดวง (feild) ของสังฆะ ทั้งหมดนี้จึงสะท้อนการก่อร่างนิจภาพหรือฮาบิทัส (habitus) ของพระสงฆ์สายวัดป่า ผ่านการเผาบาตรและถือครองบาตรเผาในช่วงหนึ่งของการบวช

ที่กล่าวมานี้มิได้ต้องการตำหนิพระสงฆ์ ซึ่งในยามนั้นก็เป็นสหายร่วมปฏิบัติธรรมของผม การบริโภคความหรูหราของบาตรเผา เป็นขั้นตอนหนึ่งของเส้นทางการเรียนรู้และการปฏิบัติธรรม การเท่าทันกิเลสและเล่เหลี่ยมของตัณหา ซึ่งสะท้อนความเป็นมนุษย์ที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในพระสงฆ์วัดป่าสายปฏิบัติในวัดที่ผมเคยบวช

ขอกราบนมัสการมาด้วยความเคารพ

ป้องกันแล้ว:นิยามงานอดิเรก งานศึกษาจากหลักฐานเชิงประจักษ์

เนื้อหานี้มีการป้องกันด้วยรหัสผ่าน โปรดใส่รหัสผ่านด้านล่างเพื่อดูมัน

วิเคราะห์ขอบเขตประเด็นศึกษา ด้วย Wordcloud

โจทย์ของการทำ Scoping Review ข้อหนึ่ง คือการหาขอบเขตความรู้ในประเด็นที่เราสนใจจากวรรณกรรมเท่าที่มีอยู่ในกรอบที่เรากำหนด เทคนิคที่ผมขอนำมาเสนอเพื่อทุ่นแรงการหาขอบเขตงานวิจัยอย่างรวดเร็วคือการทำ Wordcloud จาก Keyword ของกองเอกสารทบทวนวรรณกรรมที่เราสนใจ

Wordcloud คือเทคนิคการนำเสนอข้อมูลในลักษณะ Visualising data หรือการทำ infographic โดยการเอาคำมาเรียงกันเป็นรูปร่าง คำใดที่พบบ่อยฟอนต์จะใหญ่หน่อย คำที่ไม่ค่อยพบก็จะมีตัวอักษรขนาดเล็กตามลำดับ

หน้าตาเว็บ word clouds.com

การทำ Wordcloud มีบริการออนไลน์ในหลายเว็บ เว็บที่ผมใช้บริการคือ https://www.wordclouds.com ซึ่งมีฟังก์ชันที่หลากหลาย เพียงใส่ keyword จาก journal ที่เราสนใจลงไปให้โปรแกรมวิเคราะห์และทำ wordcloud ให้ ก็จะได้ผลลัพธ์ดังตัวอย่าง

ผมรวบรวม keyword จาก journal ในเว็บไซต์ Scopus เอาเฉพาะวารสารภาษาอังกฤษ ที่มีคำว่า Hobby เป็น keyword ในเอกสาร 1 คำเป็นอย่างน้อย ศึกษาเฉพาะ 10 ปีย้อนหลัง (2009-2019) ก็จะพบว่ามีจำนวน paper ทั้งหมด 225 ชิ้น มีคำสำคัญทั้งหมด 1,247 คำ จะพบคำที่เกี่ยวข้องเช่น education, learning, health, life, activity, social, dementia และอื่นๆ ที่มีลักษณะลดหลั่นลงมา

ตัวอย่าง wordcloud หัวข้อ Lobby

ด้วยวิธีนี้ เราไม่ต้องไปหาอ่าน journal ในทุกบทความ หรือไล่นับ keyword ของแต่ละบทความด้วยตนเอง ก็จะพอเห็นภาพรวมของแวดวงวิชาการที่ศึกษาเรื่องที่เราสนใจว่าเขากำลังสนใจอะไรกัน

ขั้นตอนการทำ wordcloud มีดังนี้

  1. กำหนดว่า keyword ที่เราจะเอามาทำ wordcloud จะเอามาจากไหน กรณีของผมเอามาจากฐานข้อมูลใน Scopus
  2. กำหนดกรอบการคัดเลือกเอกสารที่เราจะคัดเอา keyword มาวิเคราะห์ เช่น กรอบคำสำคัญ กรอบปีของเอกสาร กรอบสาขาวิชาที่เราสนใจ เป็นต้น
  3. จะได้กลุ่มประชากรเอกสารที่เราสนใจ จากนั้นดาวน์โหลดมาใส่ในโปรแกรม exel หรือ number เพื่อจัดการข้อมูลเฉพาะส่วน keyword
  4. คัดลือก keyword มาใส่ในโปรแกรม Wordcloud แล้วปรับแต่ง wordcloud ของเราให้เหมาะกับการนำเสนอ เช่น จำนวนคำสำคัญ ขนาดคำ ฟอนต์ รูปร่างของ wordcloud ธีมสีของ wordcloud ของเรา เป็นต้น
  5. จะได้ wordcloud ในประเด็นที่เราสนใจศึกษามาวิเคราะห์ต่อไป
ลักษณะข้อมูลเอกสารจาก journal และ keyword ที่เกี่ยวข้องกับ Hobby
ซึ่งดาวน์โหลดจาก Scopus
wordcloud ยังดัดเป็นรูปร่างต่างๆ ด้วยนะ เช่น หมากรุก ซึ่งสะท้อนความเป็นงานอดิเรก เก๋ไปอีกแบบ
ตัวอย่างการทำ wordcloud จาก abstract ของบทความทั้งหมด
จะเห็นภาพรวมการใช้คำใน abtract ที่เกี่ยวข้องกับ hobby

จากการค้นคว้าด้วยการทำ wordcloud พบประเด็น hobby ที่น่าสนใจ เช่น

  • hobby เกี่ยวข้องกับภาวะสมองเสื่อม, สังคม, สุขภาพอยู่เหมือนกันนะ
  • hobby เกี่ยวข้องอย่างไรกับประเด็น migration, Addiction, Pain, Farming ฯลฯ
  • พบ jounal ที่เกี่ยวกับงานอดิเรกในประเทศไทยน้อยชิ้น แต่ก็ต้องตามไปดู

คุยกับเตี่ยเรื่องปลูกมะม่วง (1)

หลังจากเรียนเรียนเสร็จบ่ายวันอาทิตย์ ข้าพเจ้ากลับบ้าน เจอเตี่ยกำลังกินข้าวเหนียวมะม่วง คุยกับเตี่ยเรื่องการทำสวน งานวิทยานิพนธ์ที่ข้าพเจ้าศึกษาอยู่เกี่ยวกับเตี่ยโดยตรง ทั้งการใช้เวลาว่าง และงานอดิเรก

เตี่ยคุยเรื่องการทำสวนได้มาก เพราะเป็นเรื่องที่เตี่ยสนใจ ลงมือทำ แต่ไม่ค่อยมีคนคุยเรื่องการทำสวน การปลูกต้นไม้กับเตี่ยมากนัก เตี่ยบอกว่าสมัยนี้ คนไม่คอยเอาจริงเอาจังกับการปลูกต้นไม้ แม้คนที่สนใจก็ตาม

เตี่ยมีที่ปลูกต้นไม้หลายที่ ทั้งสวนที่บ้าน สวนที่ถนนกัลปพฤกษ์ และที่ที่ดินแถวบ้านเช่าแถวซอยกำนันแม้น แต่ละที่เรียกร้องเวลาให้เตี่ยไปดูแล ต้นไม้ที่ต้องดูแลเยอะหน่อยและเตี่ยให้ความสนใจเป็นพิเศษก็คือมะม่วงและมะนาว แต่ก็ยังมีกล้วย พลู และต้นอื่นๆ ที่สนใจปลูก

การปลูกต้นไม้ทำให้เตี่ยมีกิจกรรมทางกาย ทางสังคม ทางใจ และทางเศรษฐกิจ เป็นงานอดิเรกที่เติมเต็มชีวิตและมีความยืดหยุ่น ต้นไม้ทำให้เตี่ยเชื่อมโยงกับธรรมชาติ เตี่ยสังเกตชีวิตของกระรอก รู้ว่ามะม่วงต้นนี้มีครอบครัวกระรอกอาศัยอยู่ มันกำลังมีลูกเล็ก และพ่อแม่กระรอกจะไปเอามะม่วงจากต้นโน้นมาป้อนลูกของมันตั้งแต่เช้าตรู่ เตี่ยสังเกตว่ากระรอกจะกินมะม่วงอย่างสิ้นเปลือง

เตี่ยยังสังเกตชีวิตของนกชนิดหนึ่งที่อยู่ในสวน จำได้ถึงเสียงร้องและเรื่องราวของมัน เช้าวันหนึ่งหลังคืนฝนตกหนัก เตี่ยสังเกตว่าที่พื้นมีรังนกหล่นอยู่ ในรังมีลูกนกตัวหนึ่ง เตี่ยบรรจงเอานกไปวางไว้ที่ใกล้เคียง พ่อแม่ของมันสังเกตเห็นและกลับมาเลี้ยงลูกนกต่อ จนกระทั่งวันหนึ่ง ลูกนกบินได้และพ่อแม่ของมันบินมาใกล้ๆ เพื่อขอบคุณเตี่ย ก่อนที่จะจากรังของมันไป

การปลูกมะม่วง ทำให้เตี่ยมีพื้นที่พัฒนาการเรียนรู้ เตี่ยพัฒนาฝีมือการชำกิ่ง จากอัตราสำเร็จร้อยละ 70 เป็นร้อยละ 95 การพัฒนานี้มาจาก Youtube และเชื่อว่าเตี่ยคงติดตามข่าวสารจากหนังสือพิมพ์หรือ Facebook หรือช่องทางอื่นๆ จากสมาร์ทโฟน

ข้าพเจ้าถามเตี่ยว่าที่ปลูกต้นไม้ ถือว่าเป็นเกษตรกรแล้วหรือไม่ เตี่ยตอบในทำนองว่า จะว่าเป็นเกษตรกรก็ไม่ใช่ เป็นคนที่เอาจริงเอาจังกับการปลูกต้นไม้มากกว่า และรายได้จากการปลูกต้นไม้ก็ไม่ใช่รายได้หลัก ข้าพเจ้าจึงถามเตี่ยว่า การปลูกต้นไม้ถือเป็นงานอดิเรกหรือไม่ เตี่ยบอกว่าถือเป็นงานอดิเรก

เมื่อมาเทียบกับนิยามงานอดิเรกที่ข้าพเจ้าสังเคราะห์ไว้ว่า

เป็นกิจกรรมที่ทำยามว่าง
ทำแล้วเพลิดเพลินรื่นรมย์
ให้เวลากับกิจกรรมนี้ มีการทำซ้ำ ทำบ่อย
ไม่ใช่งานเพื่อการเลี้ยงชีพ

ก็จะพบว่าสอดคล้องกับนิยาม 3 ข้อหลัง แต่นิยามข้อแรกจะมีปัญหา เพราะสำหรับเตี่ยแล้ว การปลูกต้นไม้คืองานชนิดหนึ่ง และไม่นับว่าเป็นกิจกรรมยามว่าง เมื่อถามเตี่ยว่า เตี่ยมีเวลาว่างมากหรือไม่ เตี่ยจึงบอกว่าไม่มีเวลาว่าง ถ้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็จะ “เข้าสวน” การปลูกต้นไม้สำหรับเตี่ย จึงเป็น “งาน” ชนิดหนึ่ง

ทั้งนี้ สำหรับข้าพเจ้าแล้วก็นับว่าการปลูกมะม่วงของเตี่ยนั้น เป็นงานอดิเรก และน่าสนใจมากด้วย เพราะงานอดิเรกของเตี่ยคือโครงสร้างกำหนดพฤติกรรมสุขภาพที่ดีหลายอย่าง เช่น

  • การมีกิจกรรมทางกาย
  • การมีส่วนร่วมกับเศรษฐกิจ
  • การได้รับคำชื่นชมจากชุมชน
  • การเห็นคุณค่าในตนเอง

ความท้าทายของทฤษฎีงานอดิเรกหลังคุยกับเตี่ยคือ

  • งานอดิเรกเป็นคนละอย่างกับการใช้เวลาว่าง
  • ระหว่าทำงานอดิเรก บุคคลอาจไม่รับรู้ว่าขณะนั้นคือเวลาว่าง
  • คำว่างานอดิรก ดูจริงจังน้อยไปเมื่อเทียบกับคำนิยาม

คุยวันที่ 2019-9-1 บ้าน

Scoping Reviews แนวทางการทบทวนวรรณกรรมเพื่อเขียนทบทวนวรรณกรรม

เท่าที่ข้าพเจ้ารู้มา ตอนนี้เรามีกรอบการทบทวนวรรณกรรม 3 แบบ ใหญ่ เอาไว้เขียนงานบทที่สอง ในวิทยานิพนธ์สายสังคมศาสตร์ 3 แบบ คือ

  • การทบทวนวรรณกรรมตามใจนักวิจัย (Narrative Literature Reviews หรือ Traditional Literature Reviews)
  • การทบทวนวรรณกรรมอย่างมีระบบ (Systematic Literature Reviews – SLR)
  • การทบทวนวรรณกรรมแบบกำหนดขอบเขต (Scoping Reviews – ScR)

สองอย่างแรกนั้นเราได้พูดไปแล้วในบทความ https://thamlenlen.home.blog/2019/08/28/สรุปเนื้อหาจากบทความ-systematic-reviews/ วันนี้จึงจะพูดถึง Scoping Review (ScR) หรือการทบทวนวรรณกรรมแบบกำหนดขอบเขต แล้วเราจะได้เริ่มงาน วพ. เสียที

ScR นั้น เริ่มมีคนพูดถึงในปี 2005 โดย Arksey and O’Malley แต่งานที่ข้าพเจ้าอ่านคืองานของ Ruiz-Perez, I., & Petrova, D. (2019) ซึ่งเขียนสรุปให้เหลือแค่ 3 หน้า เขาบอกว่าปัจจุบันมีคนทำ ScR มากขึ้น เฉพาะปี 2018 มีเอกสารที่ใช้แนวทางทบทวนวรรณกรรมแบบนี้ถึงกว่าพันชิ้น งานส่วนใหญ่ทบทวนวรรณกรรมฝั่งการแพทย์ ถึงสามในสี่

เหตุที่ ScR ได้รับความนิยม เนื่องจากมันทำหน้าที่ทบทวนและรวบรวมกรอบแนวคิดได้อย่างรวดเร็ว เพราะมันได้สร้างขอบเขตการทบทวนวรรณกรรมเข้ามา และเติมความเป็นระบบเข้าไปในช่วงการรีวิวเอกสารแบบดั้งเดิม

นิยามของ ScR นั้นมีไว้ว่า

“Exploratory projects that systematically map the literature available on a topic, identifying key concepts, theories, sources of evidence and gaps in the research”

Andrea C. Tricco 2016

การทบทวนวรรณกรรมอย่างมีขอบเขต คือ โครงกาศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ โดยการร่างแผนที่ประเด็นที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรอบแนวคิดสำคัญ ทฤษฎี แหล่งของหลักฐานศึกษา และช่องว่างของการศึกษา

Andrea C. Tricco 2016

ScR มีจุดมุ่งหมายคือการสำรวจงานศึกษาอย่างมีระบบ โดยพยายามระบุประเด็นศึกษาอย่างมีขอบเขต ทั้งกรอบแนวคิดสำคัญ (Key Concepts) ทฤษฎีที่ใช้ และ ช่องว่างของงานวิจัยในขอบเขตที่สนใจ (Research Gap หรือ Deficiancies) (Ruiz-Perez, I., & Petrova, D. (2019)) นอกจากนี้ ข้าพเจ้ายังคิดว่า การใส่คีย์เวิร์ดที่ฮิตติดหูและง่ายว่า Scoping Reviews ยังน่าจะเป็นแรงจูงใจทำให้นักวิจัยช่วงนี้สนใจทำมากขึ้น เพราะมีโอกาสที่นักวิจัยในประเด็นเดียวกันหันมาอ่านงานและได้รับการอ้างถึงมากขึ้น

ขั้นตอนของการทำ ScR

Arksey H & O’Malley (2005) อ้างใน J Soc Res Methodol. 2005;8:19–32. Ruiz-Perez, I., & Petrova, D. (2019) กล่าวถึงขั้นตอนการทำ ScR ไว้ 6 ขั้นตอนได้แก่

  • [1] identification of research questions: generally broad ระบุปัญหาของการวิจัยแบบกว้างๆ
  • [2] identification of relevant studies: as broad as possible กำหนดงานศึกษาที่เกี่ยวข้องให้กว้างที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
  • [3] selection of studies: establishing inclusion/exclusion criteria สร้างเกณฑ์ว่าเราจะเอางานชิ้นใดมาศึกษา
  • [4] mapping of data: mapping and classification of information according to the main issues and subjects; จัดกลุ่มข้อมูลงานศึกษาที่เกี่ยวข้องกับประเด็นหลักและประเด็นที่ผู้วิจัยสนใจ
  • [5] collect, summarize and report the results: descriptive and/or numeric summary of the data and a thematic analysis, สรุปข้อมูลและรายงานผลงานศึกษา
  • [6] expert consultation exercise: optional additional step to involve key stakeholders and validate the results of the study. เอาผลงานศึกษาไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ (สำหรับนักศึกษา ให้นำผลไปปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษานั่นเอง)

ดังนั้นแล้ว การทำ ScR มิใช่เรื่องที่ซับซ้อนหรือแปลกใหม่ แต่คือการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับประเด็นสนใจอย่างเป็นระบบ สนับสนุนให้นักวิจัยกำหนดขอบเขตประเด็น และขอบเขตของการเลือกงานมาศึกษาอย่างเป็นระบบ โดยผลการทบทวนมิได้เน้นไปในทางการทำนโยบายหรือตัดสินใจ แต่อำนวยความสะดวกในเรื่องการดูแนวโน้มการศึกษา (Research trend) สร้างกรอบแนวคิดการวิจัย (Theoritical Concept) การหาช่องว่างการศึกษาหรือ Research Gap เพื่ออธิบายความสำคัญของปัญหาอย่างเป็นระบบ และดูมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือมากขึ้น

ความแตกต่างอื่นๆ ที่น่าสนใจมีดังนี้

  • ScR มีคำถามกว้างๆ ในประเด็นที่ศึกษา (เช่น แนวทางการป้องกันท้องไม่พร้อมมีอะไรบ้าง) ส่วน SLR จะมีคำถามที่เฉพาะเจาะจง (การใช้ยาคุมฉุกเฉินช่วยป้องกันการท้องไม่พร้อมในวัยผู้ใหญ่ มีประสิทธิภาพเพียงใด)
  • ScR หาพรมแดนของความรู้ให้กว้างขวาง เพื่อคัดเลือกประเด็นที่เราสนใจศึกษา และพัฒนากรอบแนวคิดการวิจัย ส่วน SLR สนใจศึกษาตัวแปรที่เฉพาะเจาะจง เพื่อให้มั่นใจว่าตัวแปรนั้นๆ ว่าสำคัญจริง
  • ScR เสนอคำถามหรือช่องว่างในงานวิจัยหรือนโยบาย ส่วน SLR พยายามหาคำตอบเพื่อการตัดสินใจเชิงนโยบาย
  • ScR เป็นงานทบทวนวรรณกรรมแนว Qualitative Approach ส่วน SLR เป็นงานทบทวนแนว Qualitative Approach

สำหรับข้อแตกต่างอื่นๆ Ruiz-Perez, I., & Petrova, D. (2019) ได้รวบรวมไว้ให้เราแล้ว ดังตารางเปรียบเทียบด้านล่าง น่าสนใจว่า การทบทวนวรรณกรรมแบบเดิมจะค่อนข้างถูกทอดทิ้ง

Ruiz-Perez, I., & Petrova, D. (2019)

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญของการทบทวนวรรณกรรม คือการคิดอย่างมีตรรกะ คิดอย่างเป็นระบบ ScR และ SLR เป็นเพียงเครื่องมือในการคิดและรวบรวมหลักฐานเชิงประจักษ์ จากทรัพยากรที่เรามีอยู่แล้วคือฐานข้อมูลออนไลน์จำนวนมากที่เรามีความสามารถในการเข้าถึง รวมทั้ง Search Engine ที่มอบพลังให้นักวิจัยสมัยใหม่อย่างมากมาย

เอกสารอ้างอิง 

Munn, Z., Peters, M. D. J., Stern, C., Tufanaru, C., McArthur, A., & Armatures, E. (2018). Systematic review or scoping review? Guidance for authors when choosing between a systematic or scoping review approach. BMC Medical Research Methodology, 18(1), 143. doi:10.1186/s12874-018-0611-x

Ruiz-Perez, I., & Petrova, D. (2019). Scoping reviews. Another way of literature review. Medicina Clínica (English Edition), 153(4), 165-168. doi:https://doi.org/10.1016/j.medcle.2019.02.026.

Handout

Tricco, A. C.  Scoping reviews: What they are & How you can do them. Retrieved from https://training.cochrane.org/sites/training.cochrane.org/files/public/uploads/resources/downloadable_resources/English/Scoping%20reviews%20webinar%20Andrea%20Tricco%20PDF.pdf

สรุปเนื้อหาจากบทความ Systematic Reviews and Qualitative Methods

ในช่วงแรกของการเรียน ป.เอก ที่หลักสูตรสังคมศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุข นั้น เราจะได้เจอคำถามที่ชวนให้นักศึกษากลับมาโฟกัสกับหัวข้อวิจัยที่เราสนใจ สำหรับผมเป็นเรื่องการใช้เวลาว่างในผู้สูงอายุ (หัวข้อร่าง) เมื่อถูกกระตุ้นจากอาจารย์บ่อยๆ ข้าพเจ้าก็คิดถึงงานวิจัยของตนมากขึ้น และบางเรื่อง เราสามารถทบทวนวรรณกรรมได้เลย

ในระหว่างทบทวนวรรณกรรมนี้เอง ที่ข้าพเจ้าได้เห็นตนเองค้นคว้าอย่างสะเปะสะปะ เนื่องจากเรื่องที่สนใจมีมากมาย คีย์เวิร์ดที่จับประเด็นได้เริ่มขยายกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ ลำพังเพียงคำสำคัญที่เกี่ยวกับการใช้เวลาว่าง ก็ค่อยๆ แตกตัวออกไปจนกลายเป็นจักรวาลขนาดย่อม เดี๋ยวนี้เพียงค้นคีย์เวิร์ดเพียงคำเดียวก็จะมีเอกสารความรู้มาให้อ่านมากมาย อ่านเรื่องนี้ก็จะขยายไปเรื่องนั้น ข้าพเจ้าเริ่มกังวลว่า ขอบเขตของการค้นคว้าจะไปจบลงที่ไหน การทบทวนวรรณกรรมนั้นเริ่มต้นได้ง่าย แต่จบลงได้ยาก เมื่อนั้นข้าพเจ้าคิดว่า การกำหนดขอบเขตการค้นคว้าเป็นศิลปะอย่างหนึ่งของการแสวงหาความรู้ และข้าพเจ้าคิดถึงวิธีวิทยาว่าด้วยการค้นคว้า และคำว่า Systematic Reviews ก็โผล่ปรากฏออกมาเป็นคำตอบ

ในห้องสมุดมหาวิทยาลัยมหิดล ไม่มีหนังสือที่พูดถึงเรื่องนี้โดยเฉพาะ ข้าพเจ้าจึงไปหาหนังสือที่พูดเรื่องนี้ในชั้นหนังสือภาษาอังกฤษ เจอบทหนึ่งที่กล่าวถึงประเด็นนี้ในหนังสือเรื่อง Qualitative Research ของ David Silverman เลยเขียนบันทึกไว้เผื่อเป็นประโยชน์

ในบท Systematic Reviews and Qualitative Methods โดย Mary Dixon-Woods เขียนเล่าความเป็นมาและหลักการของการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบไว้น่าสนใจ ประเด็นสำคัญมีดังนี้

Systematic Review (SR) เริ่มขึ้นหลังจากมีนักวิจัยทำวิจัยจำนวนมาก ในช่วงปี ค.ศ. 1753 มีนักวิจัยชื่อ James Lind คิดว่า บางทีเราอาจหาคำตอบของโจทย์วิจัยได้จากงานวิจัยของคนอื่นๆ ที่เขาทำไว้แล้วโดยไม่ต้องไปทำวิจัยเอง ในปี 1903 นักสถิติ Karl Pearson ลองเอาตัวเลขข้อค้นพบทางสถิติจากงานวิจัยเรื่องเดียวกันหลายๆ ชิ้น มาประมาณค่า หลังจากนั้น งาน SR ก็ได้รับความนิยมในสาขาการศึกษาและจิตวิทยาค่ายปฏิฐานนิยม จนกลายเป็นที่รับรู้ว่า SR เป็นงานวิจัยแบบปริมาณ ทั้งๆ ที่ปรัชญาการทบทวนวรรณกรรมเช่นนี้เป็นแนวคิดและเทคนิคการวิจัยเชิงคุณภาพ

ที่ว่าเป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ เพราะเป็นการทำงานกับตัวอักษร คำสำคัญ ข้อมูล โดยปฏิบัติกับเนื้อหาในวรรณกรรมราวกับเป็นประชากร (Popolation) หรือกลุ่มตัวอย่าง (Sampling) คัดเลือกเอางานวิจัยที่สนใจและมีความหมายมาเป็นตัวแทนในการวิเคราะห์ นักวิจัยเป็นผู้อ่านและตีความข้อค้นพบเหล่านั้นออกมาเป็นบทวิเคราะห์และสังเคราะห์เนื้อหา ข้อค้นพบนั้นอาจเป็นลักษณะของการพัฒนาคำถามการวิจัย พัฒนากรอบการวิจัย ไปจนถึงการหาคำตอบของปัญหา โดยไม่ต้องเก็บข้อมูลปฐมภูมิ การทำ SR จึงมีช่วงที่กว้าง และเป็นเครื่องมือการหาความรู้ได้หลายลักษณะ ในหนังสือยังพูดว่า SR ยังพูดในเทอมของคำอีกหลายคำที่ให้ความหมายคล้ายกัน เช่น Bayesian meta-analysis, content analysis, Meta-narrative mappying, Realist synthesis ฯลฯ ก็ว่ากันไป

เหตุที่ต้องทำ Systematice Review แทนที่จะทำแต่ Review อย่างเดียว เป็นเพราะการรีวิวอย่างเดียวนั้นมักจะเป็นอย่างที่ข้าพเจ้าประสบ นั่นคือ การรีวิวตามมีตามเกิด การรีวิวแบบบังเอิญ การรีวิวตามใจ การรีวิวโดยไม่รู้ขอบเขต สรุปผลการรีวิวตามใจ พูดง่ายๆ คือ รีวิวโดยมีอคติเข้ามาครอบงำ การรีวิวเช่นนี้ให้โทษพอสมควร คือ ทำให้ได้ข้อสรุปในการแก้ปัญหาที่ไม่เหมาะสม 

SR จึงเข้ามาแก้ปัญหานี้ โดยมีข้อเสนอว่า…

  • ต้องทำอย่างเป็นขั้นตอน
  • ต้องโฟกัส
  • ต้องนิยามคำ สร้างเกณฑ์การทบทวนวรรณกรรม ทั้งเนื้อหา วิธีวิจัย คุณภาพงานวิจัย แหล่งข้อมูล ฐานข้อมูล 
  • อธิบายรายละเอียดของวิธีการสรุปผลจากการทบทวนของเรา

สำหรับขั้นตอนสำคัญๆ ของการทำ SR ก็ตามนั้น ได้แก่

  • การกำหนดปัญหาของการรีวิว เช่น ปัญหาเกี่ยวกับประเด็น ปัญหาเกี่ยวกับวิธีวิจัย ปัญหาเกี่ยวกับข้อค้นพบของงานวิจัย
  • การกำหนดแหล่งข้อมูลค้นหา
  • การค้นหางานวิจัยตามขอบเขตของปัญหา ในขั้นนี้กำหนดเกณฑ์คัดเข้าและคัดออก 
  • การประเมินคุณภาพของงาน 
  • การอ่านงาน วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล และเสนอผลการทบทวนวรรณกรรม

ทั้งนี้ทั้งนั้น การทำ SR ในงานของข้าพเจ้า ไม่ได้เน้นที่การนำผลการทบทวนไปใช้แก้ปัญหา แต่เพื่อการพัฒนาคำถามการวิจัย การพัฒนา Argument การพัฒนาระเบียบวิธีวิจัย รวมถึงการเขียนที่มาและความสำคัญของปัญหา 

นอกจาก SR แล้ว อ.ณัฐณีย์ ยังพูดถึงงานทบทวนวรรณกรรมอีกแบบ ที่น่าจะไปได้ดีกับการออกแบบปัญหาและวิธีการวิจัยคือ Scoping Review ไว้ข้าพเจ้าจะมาเขียนเล่าอีกครั้งหนึ่ง

เอกสารอ่านประกอบที่หนังสืออ้างไว้
Petticrew M, Roberts H (2006) Systematic reviews in the social sciences: a practical guide. oxford: Blackwell.

ที่มา
Dixon-Woods, M. (2011). Systematic Reviews and Qualitative Methods. In D. Silverman (Ed.), Qualitative Research (3rd ed., pp. 331-346). London: SAGE.

ขมวดคำถาม กลุ่มเป้าหมาย เมื่อเรียน Coursework ครบ 2 สัปดาห์

หลังจากเรียนวิชาปรับพื้นฐานมาแล้ว 2 ตัว ข้าพเจ้าพบว่า พอจะขมวดเรื่องราวต่างๆ ในงาน วพ. ได้ดังนี้
1. ควรรีบหาอาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อจะได้ปรึกษาเรื่องงานวิทยานิพนธ์ต่อไป 

2. ด้วยโจทย์ของข้าพเจ้าเป็นไปในทางปฏิบัติ กระบวนทัศน์งานวิจัยจึงน่าจะเป็นแบบ Pragmatism และใช้กระบวนการ Action Research โดยเฉพาะในประเด็นที่ข้าพเจ้าสนใจ คือ งานอดิเรกและการใช้เวลาว่างในผู้สูงอายุในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ

3. Keyword ที่ใช้ทำงานเริ่มมีมากหลาย เช่น 

หมวด Hobby ได้แก่
งานอดิเรก Hobbyการใช้เวลาว่าง Leisureกิจกรรม Activity: กิจกรรมทางกาย กิจกรรมทางสังคม กิจกรรมบำบัดการเล่น Playงานอดิเรกหลังเกษียณ Recreation

หมวดผู้สูงอายุ ได้แก่ ผู้สูงอายุสุขภาพดี Healty Ageingพฤฒิพลัง Active Ageing 

หมวดจิตวิทยาที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สุนทรียภาพ Aestaticความรื่นรมย์ Joyความสร้างสรรค์ Creativeความเหงา Lonelinessทุนทางสังคม Social Capitalสุขภาพทางสังคม Social Health

หมวดระเบียบวิธี งานวิจัยเชิงปฏิบัติการ Action Research

4. คำถามการวิจัยที่ระดมมาเช่น 

  • – เราจะศึกษาสุนทรียภาพได้อย่างไร
  • เราควรจะศึกษาใคร
  • เราจะศึกษางานอดิเรกได้ที่ไหน
  • ผู้สูงอายุใช้เวลาว่างอย่างไร
  • ผู้สูงอายุมีเวลาว่างไหม
  • ผู้สูงอายุรับรู้เวลาว่างอย่างไร
  • อะไรส่งผลต่อการใช้เวลาว่างและโครงสร้างงานอดิเรกของผู้สูงอายุ
  • กลุ่มงานอดิเรกที่มีอยู่แล้วของผู้สูงอายุมีอะไรบ้าง
  • งานอดิรรเกจะเป็นงานวิจัยเชิงวิพากษ์ได้ไหม
  • ปัญหาสุขภาพผู้สูงอายุ เป็นผลมาจากประเด็นการทำงานอดิเรกที่เป็นตัวบั่นทอนสุขภาพได้หรือไม่ อย่างไร
  • เราจะใช้แนวคิดแบบพุทธ มามองการใช้เวลาว่างของผู้สูงอายุได้อย่างไร
  • ในพุทธศาสนา มองงานอดิเรกอย่างไร
  • งานอดิิรกเป็นมิตรหรือศัตรูต่อความสุข ความทุกข์กันแน่
  • งานอดิเรกเป็นการตอบสนองความต้องการขั้นใดของ Maslow
  • งานอดิเรกเป็นการตอบสนองความต้องการขั้นใดของพัฒนาการผู้สูงอายุ
  • ผู้สูงอายุในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุใช้เวลาว่างอย่างไร
  • ผู้สูงอายุมีเวลาว่างมากขึ้นหรือน้อยลง ใช้เวลาว่างไปกับอะไร ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
  • ที่ผ่านมา งานศึกษาเวลาว่างในผู้สูงอายุเป็นอย่างไรบ้าง
  • งานอดิเรก ส่งผลแค่ไหนต่อสุขภาพผู้สูงอายุ
  • หากกีฬาเป็นแหล่งกิจกรรมยามว่างที่รวมเอา Well Being ไว้ ผู้สูงอายุมีแหล่งกีฬาใด
  • การส่งเสริมการใช้เวลาว่าง โครงสร้างเมือง การวางผังเมือง การจัดสภาพแวดล้อม ส่งผลมาก้อยเพียงใด
  • เมืองที่มี Positive Leisure เพราะมีีโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อด้วยหรือไม่
  • โครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการใช้เวลาว่าง เช่น การขนส่งมวลชน สวนสาธารณะ พื้นที่สาธารณะ สัวดิการสังคม มีผลต่อการใช้เวลาว่างและสุขภาพผู้สูงอายุอย่างไรบ้าง
  • ผู้สูงอายุในบ้านพักผู้สูงอายุปัจจุบัน ใช้เวลาว่างอย่างไร
  • การใช้เวลาว่าง ส่งผลต่อสุขภาพผู้สูงอายุอย่างไร
  • ทำอย่างไรให้ผู้สูงอายุในบ้านพักผู้สูงอายุใช้เวลาว่างที่เอื้อต่อสุขภาพผู้สูงอายุ
  • ปัจจุบันมีผู้สูงอายุอยู่ในสถานบริการผู้สูงอายุมากน้อยแค่ไหน
  • ปัจจุบันมีชมรมผู้สูงอายุมากน้อยเพียงใด มีการจัดกิจกรรมหรือวางแผนการใช้เวลาว่างอย่างไรในกลุ่ม/ชมรม

5. กลุ่มเป้าหมายที่เริ่มชัดเจนมากขึ้นได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุในสถานจัดสวัสดิการผู้สูงอายุ โดยรัฐ (เช่น บ้านบางแค และศูนย์ดูแลในเครืออีก 24 แห่ง) บ้านพักผู้สูงอายุเอกชน และบริการฝากผู้สูงอายุในรูปแบบต่างๆ

วันนี้เอาเท่านี้ก่อน

Leisure Time, Physical Activity, and Health สรุปเนื้อหาบทความ

บทความนี้พูดถึงความเชื่อมโยงระหว่างกิจกรรมยามว่าง กิจกรรมทางกาย และสุขภาพ เป็นงานทบทวนวรรณกรรมในภาพกว้างเกี่ยวกับประเด็นทั้งสามดังกล่าว

บทความเริ่มจากการพรรณาปัญหาโรค NCD ที่เป็นผลลัพธ์จากการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม พบว่า ประชากรในสังคมสมัยใหม่มีปัญหาเกี่ยวกับการบริโภค และวิถีชีวิต คือ เป็นโรคอ้วนมากขึ้น ออกกำลังกายน้อยลง นั่นเป็นเพราะกิจกรรมยามว่างเปลี่ยนรูปแบบไป จากกิจกรรมที่ Active เป็นกิจกรรมแบบนั่งเฉยๆ มากขึ้น (Sedentary Activities) เช่น ดูทีวี เล่นมือถือ ทำงานนั่งโต๊ะ อ่านหนังสือ กิจกรรมที่มีผลกระทบมากคือการดูทีวี จะส่งเสริมให้กินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ

บทความนี้พูดถึงสุขภาพของเยาวชนเยอะ โดยบอกว่า กิจกรรมยามว่างขึ้นกับสถานะเศรษฐกิจสังคม (Socioeconomic Status – SES) คือ ถ้ามี SES ดีก็จะมีโอกาสเข้าถึงกิจกรรมทางกายที่มีโครงสร้าง (อาทิ กีฬา สโมสรกีฬา) เพราะกิจกรรมเหล่านี้ต้องมีครูสอน ต้องมีค่าสมาชิก ต้องเสียเงินซื้อชุดและอุปกรรณ์ ส่วนเด็กที่มี SES ต่ำกว่า ก็จะเข้าไม่ถึง มีแนวโน้มที่จะทำกิจกรรมยามว่างแบบนั่งเฉยๆ และอ้วนกว่า

ประเด็นเพศสภาพก็มีผลต่อการออกกำลังกายด้วยเหมือนกัน เด็กผู้ชายออกกำลังกายมากกว่าเด็กผู้หญิง เพราะสังคมคาดหวัง และมีตัวเลือกการออกกำลังกายมากกว่า

ส่วนการศึกษาก็มีผล คือ คนที่มีการศึกษาดีกว่าก็จะรู้ความสำคัญของการออกกำลังกาย และเข้าถึงการออกกำลังกายมากกว่า อย่างไรก็ตาม ระดับการศึกษาที่ดีกว่าส่งผลต่อรายได้ และความสามารถในการจ่ายเงินเพื่อเข้าถึงการออกกำลังกายด้วย

สิ่งแวดล้อมก็มีผล ถ้าสิ่งแวดล้อมเอื้อต่อการออกำลังกาย เช่น สวนสาธารณะ โรงยิม มีระบบขนส่งมวลชนที่ดี คนก็ออกำลังกายหรือเดินมากขึ้น นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย (ไม่มีอาชญากรรม เพื่อนบ้านดี) ก็ยังทำให้มีกิจกรรมทางกายมากขึ้นด้วย เรื่องนี้น่าคิด เพราะสังคมที่ไม่ปลอดภัย พ่อแม่เลือกที่จะให้ลูกอยู่กับบ้านมากกว่า ทำให้มีโอกาสทำกิจกรรมยามว่างแบบนั่งเฉยๆ และมีโอกาสอ้วนมากกว่า

สำหรับการส่งเสริม PA (Physical Activities) นั้น WHO บอกว่าควรลงทุนพละศึกษาในเด็กมัธยม เพราะมีความคุ้มค่า เด็กที่ออกกำลังกายในวัยนี้มีโอกาสทำให้ PA เชื่อมโยงกับกิจกรรมยามว่าง การแข่งขันกีฬาทำให้เพิ่มแรงจูงใจ และมีเพื่อนร่วมเล่นกีฬา ประสบการณ์ในวัยนี้ทำให้เมื่อพวกเขาโตขึ้น ก็จะชอบเล่นกีฬาประเภทเดียวกันไปจนโต

คำถาม

  • เป็นไปได้ไหม ที่จะทำให้ผู้สูงอายุ มีกิจกรรมทางกายที่มีโครงสร้าง ทำอย่างไร
  • สาธารณูปโภคที่ทำให้เกิด Active Leisure Activities ที่มีอะไรบ้าง
  • ในโรงเรียนผู้สูงอายุ ต้องมีวิชาพละศึกษาด้วยไหม

ความรู้ใหม่

  • วิชาพละศึกษามีความสำคัญมาก
  • สิ่งแวดล้อมมีผลต่อการทำกิจกรรมทางกาย
  • กีฬาคือการเชื่อม PA เข้ากับ Leisure

Mota, J., Barros, M., Ribeiro, J. C., & Santos, M. P. (2013). Leisure Time, Physical Activity, and Health. In T. Freire (Ed.), Positive Leisure Science From Subjective Experience to Social Contexts (pp. 159-174). Instituto de Educacao e Psicologia, Depto. PsicologiaUniversidade do MinhoBragaPortugal: Springer, Dordrecht.