บทบาทของความสนใจและการดำเนินกิจกรรมยามว่าง ที่ส่งผลต่อสุขภาวะอัตวิสัย

นี่เป็นบทความแรกที่ผมทบทวน เกี่ยวกับงานอดิเรกที่มีต่อสุขภาพ เป็นบทความท่ีน่าสนใจมากทีเดียว

งานวิจัยนี้พูดถึงการสำรวจเชิงปริมาณ หาความเชื่อมโยงตัวแปรสามตัวคือ ความสนใจกิจกรรมยามว่าง (Leisure Interest) การดำเนินกิจกรรมยามว่าง (Leisure Engagement) และสุขภาวะอัตวิสัย น่าจะหมายถึง สุขภาวะในมุมมองของผู้ถูกศึกษาว่า มองว่าตนเองมีสุขภาวะอย่างไร (Subjective Well-Being- SWB)

งานวิจัยนี้มีสมมติฐานว่า การใช้เวลาว่าง น่าจะส่งผลต่อ SWB ผลการวิจัยหลักๆ ก็เป็นเช่นนั้น กล่าวคือ ยิ่งมีความสนใจในกิจกรรมยามว่างและการดำเนินกิจกรรมยามว่าง มีผลกระทบทางบวกต่อสุขภาวะ โดยเฉพาะในกิจกรรมยามว่างที่เกี่ยวกับสังคมและกีฬา แต่ถ้ามีการดำเนินกิจกรรมยามว่างมากเกินไป ก็อาจส่งผลทางลบต่อสุขวะได้ กราฟมีลักษณะอักษร ก. ข้อเสนอที่น่าสนใจคือ สังคมน่าจะต้องส่งเสริมการดำเนินกิจกรรมยามว่างมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม งานศึกษาชิ้นนี้ศึกษาในมหาวิทยาลัย จำนวน 402 คน ผลการศึกษาเลยจำกัดในกลุ่มตัวอย่างกระแสหลักอีกแล้ว (ศึกษานักศึกษาชนชั้นกลาง ในมหาวิทยาลัย)

สำหรับ SWB มาจากแบบสอบถามสองส่วนคือ The Habitual Subjective Well-Being Scale (HSWBS; Dalbert 1992) and the ‘‘Fragebogen zur Erfassung ko ̈rperlichen Wohlbefindens’’ (FEW-16; English: questionnaire measuring physical well-being; Kolip and Schmidt 1999)

ส่วนกิจกรรมยามว่าง (Leisure Interest) และการดำเนินกิจกรรมยามว่าง (Leisure Engagement) พัฒนามาจากแบบสอบถาม German ‘‘Fragebogen-Inventar fu ̈r Freizeitinteressen’’ FIFI (Piepenburg and Kandler 2016)

จุดท่ีเป็นประโยชน์ของงานวิจัยชิ้นนี้คือการแจกแจงงานอดิเรกอย่างมีรูปแบบของงานวิชาการ มีการให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า กิจกรรมยามว่างใดที่กลุ่มตัวอย่างสนใจมาก (เช่น vacation, Cultural Activiities, Home Relaxation, Near-natural recreation, Music, Social Support) กิจกรรมยามว่างใดที่คนทำมาก (เช่น Household tasks, Self-educational activities) น่าสังเกตว่าที่สนใจส่วนใหญ่มักไม่ได้ทำ และคนที่บอกว่าต้องดำเนินกิจกรรมยามว่างโดยที่ไม่เต็มใจ กลับมี SWB น้อยกว่าเสียด้วยซ้ำ

ส่วนผลที่น่าสนใจคือ การสรุปว่ากิจกรรมยามว่างส่งผลต่อสุขภาพอย่างไรบ้างนั้น ต้องแยกองค์ประกอบกิจกรรมยามว่างเป็นประเภทไป เพราะกิจกรรมแต่ละแบบส่งผลต่อสุขภาพไม่เหมือนกัน โดยกิจกรรมยามว่างด้าน Social Activities และ Sport ส่งผลต่อสุขภาวะมากที่สุด

ความรู้ใหม่

  • กิจกรรมยามว่างบางประเภทส่งผลต่อสุขภาพ
  • มีคนเคยบัญญัติประเภทของกิจกรรมยามว่างไว้แล้ว

คำถามสำหรับการศึกษาต่อ

  • Social Activities ในฐานะกิจกรรมยามว่างมีอะไรบ้าง (คงต้องไปดูต่อใน Fragebogen-Inventar fu ̈r Freizeitinteressen (FIFI)
  • กิจกรรมยามว่างจะเป็นอะไรนั้น ขึ้นอยู่กับการนิยามความหมายของปัจเจกหรือไม่ (บางคนอาจมองว่าการล้างจานเป็นหน้าที่ แต่อีกคนอาจบอกว่าเป็นกิจกรรมยามว่าง)
  • อะไรคือความแตกต่างระหว่างกิจกรรมยามว่าง กับงานอดิเรก
  • ใช่หรือไม่ว่า งานอดิเรกคือ Leisure interest ที่สอดคล้องกับ Leisure Engagement หมายความว่าจะสนใจอย่างเดียวไม่ได้ ต้องลงมือทำ และมีความถี่ ความต่อเนื่องระดับหนึ่ง

เอกสารอ้างอิง
Schulz, P., Schulte, J., Raube, S., Disouky, H., & Kandler, C. (2018). The Role of Leisure Interest and Engagement for Subjective Well-Being. Journal of Happiness Studies, 19(4), 1135-1150. doi:10.1007/s10902-017-9863-0

งานอดิเรก เวลาว่าง สุขภาพ ผู้สูงอายุ

หลังจากอ่านงาน How to write Your Dissertation in 15 Minutes ข้าพเจ้าพยายามจัดระเบียบชีวิตให้สอดคล้องกับการศึกษา ป.เอก แน่นอน ข้าพเจ้ารู้ว่ายาก การตื่นตีสี่หรือตีห้าแล้วลุกขึ้นมาเขียนงาน เคลียร์งาน ด้วยความรับผิดชอบ ไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงอย่างนั้นก็เป็นเรื่องต้องทำ
การเรียน ป.เอก สามวันแรกที่ผ่านมา ทำให้ข้าพเจ้าคิดหลายเรื่องเกี่ยวกับหัวข้อวิจัย ข้าพเจ้าสนใจการวิจัยหัวข้องานอดิเรก ซึ่งยังหลวมและกว้าง แต่ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นและอยากจะเรียบเรียงเหตุผลว่าทำไมจึงทำงานวิจัยหัวเรื่องนี้ ดังนี้

  1. การศึกษาเรื่องงานอดิเรก เป็นงานศึกษาเชิงบวก
  2. การศึกษาเรื่องงานอดิเรก เป็นงานศึกษาที่ยังไม่มีใครทำมากนัก
  3. การศึกษาเรื่องงานอดิเรก เป็นการศึกษาการใช้เวลาว่าง ซึ่งดูจะเป็นสิ่งที่หาได้ยาก และมีความซับซ้อน 
  4. การศึกษาเรื่องงานอดิเรก ทำให้เรามีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการใช้เวลาของผู้สูงอายุ ทำให้เราออกแบบ หรือสนับสนุนการใช้เวลาว่าง ให้ส่งเสริมสุขภาพได้
  5. การศึกษาเรื่องงานอดิเรก เป็นการศึกษาเรื่องเวลาว่าง และเวลาพักผ่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดูจะหาได้ยาก และคนสมัยใหม่ในสังคมเร่งรีบดูจะมีน้อยลงๆ
  6. เราทุกคนมีเวลาว่าง มีสิ่งที่ทำเพื่อความหย่อนใจหรือพักผ่อน เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคน
  7. ในสังคมผู้สูงอายุ มีคำถามว่าเวลาที่เหลืออยู่มากมายก่ายกอง จะเอาไปใช้ทำอะไร งานอดิเรกและการใช้เวลาว่างอาจเป็นคำตอบหนึ่ง
  8. การมีงานอดิเรกหรือการใช้เวลาว่าง น่าจะขึ้นกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม ฐานะ ของปัจเจกบุคคล
  9. งานอดิเรก เป็นสื่อกลาง หรือตัวเหนี่ยวนำให้เกิดชุมชนตามความสนใจ interest group
  10. ปรากฏการณ์ร่วมสมัย การรวมกลุ่มสมัยใหม่ การฟอร์มอัตตลักษณ์ เช่น ปรากฏการณ์ BNK, กลุ่มติดตามการเมือง, กลุ่มชุมนุมทางการเมือง, การสนใจเรื่องราวในราชวงศ์ สามารถอธิบายได้จากแง่มุมเกี่ยวกับการใช้เวลาว่างหรืองานอดิเรก
  11. การเติบโตทางเศรษฐกิจด้านความบันเทิง เช่น การท่องเที่ยว อุตสาหกรรมอาหาร อัตสาหกรรมบันเทิง ห้างสรรพสินค้า ย่อมต้องเข้าใจโครงสร้างการใช้เวลาว่าง หรืองานอดิเรก
  12. สุขภาพทางกาย ใจ สังคม จิตวิญญาณ จะดีหรือไม่นั้น การใช้เวลาว่างหรืองานอดิเรก มีส่วนกำหนด

ความสำคัญของปัญหาเหล่านี้ยังไม่ได้ผ่านการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบมากนัก ส่วนใหญ่มาจากประสบการณ์ ข้อสังเกตพฤติกรรมของผู้สูงอายุที่ผมประทับใจ ดังนี้

  1. โกอ้วน โกอ้วนเป็นผู้สูงอายุที่ไม่ได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน ด้วยว่าน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับสมองและกระทบต่อความสามารถในการเรียนรู้ ตลอดชีวิตไม่เคยมีรายได้ และด้วยความที่ไม่ต้องทำงาน โกอ้วนจึงมีเวลาว่างมากมาย ทั้งวันของโกอ้วนคือเวลาว่าง ขณะที่ทุกคนทำงาน โกอ้วนใช้เวลาว่างทำในสิ่งที่เธอคิดว่าสำคัญ เช่นการทำกับข้าว การหาของมาใช้ การสะสมข้าวข้อง การหาที่ตัดผม หรือแม้แต่การด่าทอ เพื่อให้ได้รับความสนใจจากคนรอบข้าง น่าสนใจว่า เมื่อมองกลับไป กิจกรรมต่างๆ มากมาย อาจเป็นงานอดิเรกของโกอ้วนนั่นเอง
  2. พี่โมทย์ Bangkok Sketcher เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่มนี้ พี่โมทย์เคยทำงานออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสหกรรม เมื่อเกษียณแล้วก็มีคำถามว่า จะทำอย่างไรกับเวลาว่างที่มากมายเช่นนี้ พี่โมทย์ใช้งานสเก็ตช์เพื่อการสื่อสาร เป็นงานอดิเรก กลุ่ม Bangkok Sketcher เป็นส่วนหนึ่งของสังคม Urban Sketcher อันใหญ่โตและครอบคลุมทั่วโลก ข้าพเจ้าเองได้รับอิทธิพลจากกลุ่มนี้ ทำงานสร้างสรรค์งานสเก็ตช์ รู้สึกมีความสุขจากการสร้างสรรค์ จนเป็นแรงบันดาลใจหนึ่งในการเผยแผ่สุนทรียภาพจากความสร้างสรรค์เช่นนี้ต่อไป
  3. เตี่ยและแม่หมวย แม่หมวยไม่มีเวลาว่างเพราะทำงานตลอดเวลา แม่ขายของอย่างมีความสุข ทั้งการกระทำและคำพูด การขายของของแม่หมวย ราวกับสามารถผสมรวมการทำงานและเวลาว่างไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน เช่นเดียวกับเตี่ย ที่ใช้การทำสวนเป็นการพักผ่อน และการทำงานไปในคราวเดียวกัน การทำงานตลอดชีวิตของเตี่ยและแม่หมวย ท้าทายแนวคิด ‘เวลาทำงาน-เวลาว่าง’ อย่างมาก จนน่าจะศึกษาต่อไป
  4. การเลี้ยงไก่ของตาของนก นก (ภรรยาของข้าพเจ้า) มีคุณตาอยู่จังหวัดร้อยเอ็ด ตาให้คคุณค่ากับการเลี้ยงไก่จนออกลูกหลานมากมาย ตาไม่ยอมให้ไก่ถูกขายหรือไม่ยอมกินไก่ และเมื่อเหตุจำเป็นต้องขายไก่ ตาก็เสียใจมาก การมีไก่อยู่ในบ้านทำให้บ้านมีชีวิต ทำให้ตามีงานทำ และทำให้ชีวิตของตามีความหมาย เพราะมีสิ่งให้ต้องรับผิดชอบ

สรุปคำสำคัญ ในช่วงเริ่มต้นทำ วพ. ก็คือ เวลาว่าง งานอดิเรก สุขภาพ ผู้สูงอายุ 
2019-8-19

งานที่มือ ดีที่ใจ: Book Talk

29 มิ.ย. 2562 เข้าห้องสมุด สสส. ครั้งแรก หลังจากเดินโฉบไปเฉี่ยวมาหลายปี เพราะมีงาน Book Talk จัดโดยร้าน Fathom Bookspace เที่ยวนี้ว่าด้วยเรื่อง “งานที่มือ ดีที่ใจ”
พอดีว่า “กิจกรรมสร้างสรรค์” เป็นหัวข้อที่ผมสนใจทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก โดยเฉพาะกิจกรรมที่ทำด้วยมือของเราเอง ผมคิดว่าคนทุกวันนี้ไม่ค่อยได้ทำอะไรเองสักเท่าไหร่ การซื้อของหรือบริการจากคนอื่นดูจะง่ายขึ้นและราคาถูกขึ้นกว่าทำเอง ดังเช่นที่เรารู้สึกว่าซื้ออาหารกินง่ายกว่าทำเอง ฟาสต์ฟู้ดเริ่มมีราคาพอๆ กับร้านตามสั่ง หรือการลงทุนปรุงอาหารด้วยตัวเอง

ครูแป้น แห่งโรงเรียนขนมปังทำเอง กล่าวว่าการลงมือทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเองของครูแป้นนั้นไม่ได้แปลกอะไร เป็นสิ่งที่ทำมาแต่เก่าก่อน อีกทั้งหนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจก็เชื่อในฐานของการลงมือทำ การเปลี่ยนแปลงสังคมต้องที่เริ่มจากตัวเราเอง เมื่ออายุใกล้เยอะ ก็ชวนให้คิดว่าครูแป้นจะใช้ชีวิตวัยชราแบบใด คิดแล้วก็ต้องเตรียมตัวล่วงหน้า
ถ้าอยากมีเพื่อนดี มีชุมชนเกื้อกูลกัน ก็ต้องเริ่มสร้างตั้งแต่วันนี้ อยากมีความมั่นคงทางอาหารได้ก็ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ ครูแป้นเตรียมชุมชนและความมั่นคงทางอาหารด้วยการทำขนมปังทำเอง และความสุขจากการกินของที่ตัวเองเตรียม รู้วัตถุดิบและความเป็นมาของขนมปังนั้น เป็นความสุขที่ล้ำลึก เป็นอิสรภาพที่ต้องมาเห็นด้วยตนเอง โรงเรียนขนมปังทำเอง มีขึ้นเพื่อแบ่งปันประสบการณ์เช่นนี้

ส่วนพี่หนู และพี่โจ เลือกที่จะลางานประจำในสำนักพิมพ์มาทำงานประจำในเทือกสวนไร่นา ทั้งสองทำฟาร์มชื่อ NooJo Art and Farm ปลูกของกินเองและทำของใช้เอง ทั้งยังทำตลาดประจำปีให้ช่างฝีมือท้องถิ่นทั่วไทยมาออกร้านที่สวนของตนช่วงปลายมกราคมของทุกปี ประชากรนักทำมือที่พอจะมีอยู่บ้าง จึงค่อยๆ ขยายตัวเป็นชุมชนนักทำมืออย่างช้าๆ แต่มั่นคง และมีความเข้าใจในสิ่งที่กันและกันทำอยู่

วงเสวนาดำเนินรายการอย่างออกรสโดยพี่เกียว ลูกค้าประจำและสหายของร้านทั้งสอง

งานทำมือ ให้คุณภาพทางใจหลายประการ การทำของกินของใช้เองทำให้เกิดความภาคภูมิใจจากความเพียรของตน เห็นคุณค่าของ “การผลิต” ว่า กว่าจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาสักชิ้นมาให้ได้กินได้ใช้ ต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติและน้ำพักน้ำแรงของผู้คนมากมาย สรรพสิ่งทั่วสากลจักรวาลถูกแบ่งปันเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรา งานทำมือทำให้เราชื่นชมผลิตภัณฑ์ของทั้งตัวเองและของคนอื่นมากขึ้น รู้คุณค่าของสิ่งของมากขึ้น

ขณะที่การทำเอง ยังทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าเราพึ่งตัวเองได้ เกิดความรู้สึกมีอิสรภาพ และความเติบโตทางใจบางอย่างในระหว่างการทำซ้ำ จะว่าไปงานทำมือก็คือโอกาสในการภาวนา หากทำอย่างต่อเนื่องและใคร่ครวญ จะพบสภาวะบางอย่างที่เป็นสุขและอธิบายได้ยาก ซึ่งผมคิดว่า นี่คือผลของภาวนามยปัญญา ปัญญาจากงานทำมือ

ก็โดยสภาพปัจจุบัน ผู้คนถูกฝึกให้ใช้ความคิดเป็นหลัก ดูเหมือนเราใช้กล้ามนิ้วมากกว่ากล้ามมือหรือกล้ามแข็น สมดุลหัว สมดุลใจ สมดุลมือ (Head Heart Hand) เลยเสียไป งานทำมือจึงน่าจะช่วยฟื้นฟูฐานกายให้แข็งแรงขึ้น ทำให้ชีวิตมีสมดุลมากขึ้น

นอกจากนี้ผลผลิตของเรายังใช้เป็นกระจกสะท้อนตัวตนได้ดีอีกด้วย ดังเช่น ขนมปังของครูแป้น สะท้อนให้เห็นสมรรถนะของกล้ามเนื้อและของใจ ความละเอียดอ่อนของผัสสะที่เรามี รวมไปถึงกิเลสและสิ่งอื่นๆ สุดแท้แต่ความไวในการใคร่ครวญของแต่ละคน

ทำไปๆ แป้งขนมปังจึงค่อยๆ ปั้นชีวิตของเราให้มีสมดุลมากขึ้น ขนมปังอร่อยที่เราอบยังให้อานิสงส์อีกหลายอย่าง ทั้งความสุขจากการทำ ความสุขจากการกิน ความสุขจากความรู้ ความอิ่มเอมจากการให้ขนมปังเป็นของขวัญ ขนมปังทำมือมีศักยภาพที่จะให้ทุกสิ่งทุกอย่าง

แต่เราน่าจะยังต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ ที่หนุนเสริม เช่น พื้นที่หรือกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เราใคร่ครวญถึงความหมายของงานทำมือ การมีชุมชนปฏิบัติที่ช่วยสะท้อนวิจารณ์ ให้กำลังใจและให้มิตรภาพซึ่งกันและกัน งานทำมือยังเปิดให้เราได้พบคนใหม่ๆ พื้นที่ใหม่ๆ ที่จะทำให้เรา งานของเรา และผลงานของเรามีความหมาย ต่อยอดโอกาสอย่างอื่นต่อไป

ขอบคุณร้าน Fathom bookspace พี่เกียว Nongluk Sukjai ครูแป้น พี่หนู และพี่โจ และ ห้องสมุดสสส. แม้จะเป็นวงเสวนาเล็กๆ แต่เนื้อหาไม่เล็กเลย ฟังแล้วได้รายชื่อผู้ให้ข้อมูลที่ผมจะต้องหาโอกาสไปสัมภาษณ์ประกอบวิทยานิพนธ์อย่างแน่นอน

ที่มาของคำว่า Hobby

กำเนิดคำว่า Hobby ศตวรรษที่ 16 คำว่า Hobby ถูกใช้เรียกแทนลูกม้า และคำเรียกแทนของเล่นทำด้วยไม้ที่ทำเลียนแบบม้า ให้เด็กได้ขี่เล่น

ในปี 1816 พจนานุกรมภาษาอังกฤษได้บัญญัติคำว่า Hobby เป็นคำนามของอังกฤษ อ้างถึงการผลิตสร้างสรรค์ในเวลาว่าง โดยเฉพาะในวัยเด็กซึ่งมีเวลาว่างมากมาย จนกระทั่งศตวรรษที่ 18 ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น มีเครื่องจักรเข้าช่วยอำนวยความสะดวก การเข้าทำงานในเมือง การจัดสรรวันหยุด ทำให้คนมีเวลาว่างมากขึ้น งานอดิเรกจึงมีบทบาทมากขึ้นในยุคนี้

การระบุว่าอะไรเป็นงานอดิเรกนั้นเปลี่ยนไปตามยุคสมัย การสะสมสแตมป์ เคยเป็นงานอดิเรกที่ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ปัจจุบัน ระบบการส่งจดหมายเปลี่ยนไป สแตมป์สะสมก็ลดน้อยลงไปด้วย การสะสมสแตมป์เป็นงานอดิเรกจึงเสื่อมความนิยม เช่นเดียวกับการสะสมใบปิดหนัง การสะสมธนบัติ

เทคโนโลยีการสื่อสารที่เปลี่ยนไป อาจทำให้เกิดงานอดิเรกใหม่ๆ เช่น การตอบข้อซักถามทางเว็บบอร์ดเป็นงานอดิเรก การเขียนรีวิวอาหารหรือท่องเที่ยว การตัดต่อภาพขำขัด การแฮกข้อมูลเป็นงานอดิเรกฯลฯ

ด้วยเหตุที่งานอดิเรก มักพูดถึงกิจกรรมที่ทำแล้วเกิดความรู้ ทักษะใหม่ๆ ที่มีคุณค่า การผลิตสิ่งของหรือคุณค่าบางอย่างที่ไม่ได้มุ่งหวังผลตอบแทนเป็นสำคัญ หากแต่กระบวนการในกิจกรรมเหล่านั้นทำให้เกิดความเพลิดเพลินรื่นใจ มีคำพูดที่น่าสนใจว่า

“งานอดิเรกคือการทำให้งาน กลายเป็นสิ่งรื่นรมย์ ขณะเดียวกันก็ทำให้ความรื่นรมย์กลายเป็นงาน“

เรียบเรียงจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Hobby

งานที่น่าไปตามอ่านต่อ
Gelber S M. ‘’Hobbies: leisure and the Culture of Work in America’’ Columbia University Press, 1999, p. 11.

งานอดิเรกคืออะไร (2)

ผมพยายามทำความเข้าใจคำว่า “งานอดิเรก” จากพจนานุกรมเล่มต่างๆ และแยกแยะองค์ประกอบได้แก่ 1) เป็นกิจกรรมที่ทำยามว่าง 2) ทำแล้วเพลิดเพลิน 3) ทำบ่อย ทำซ้ำ 4) ไม่ใช่เพื่อการเลี้ยงชีพ (ดูบทความก่อนหน้านี้) แต่องค์ประกอบดังกล่าวก็ยังไม่สามารถแยกการดูทีวี การไถเฟซบุ๊ก หรือการนอนกลางวันได้ เพราะกิจกรรมทั้งสามอย่าง ขาดความเป็น “งาน” หรือการลงมือทำอย่างมีจุดมุ่งหมาย ดังนั้น การให้ความหมายของคำว่างานอดิเรกจากพจนานุกรมอย่างเดียว (แต่หลายเล่มนะ) น่าจะไม่เวิร์ค

ผมจึงแวะเข้าไปดูวิกิพีเดีย เลยได้องค์ประกอบอีกข้อหนึ่งที่ช่วยแยกงานอดิเรกออกจากการพักผ่อน ได้ นั่นคือองค์ประกอบข้อ 5) ผู้ทำงานอดิเรกแล้วจะมีทักษะหรือความรู้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มมากขึ้น (Participation in hobbies encourages acquiring substantial skills and knowledge in that area) องค์ประกอบข้อนี้ช่วยแยก “การไถเฟซบุ๊ก” ไปเรื่อยๆ ออกจาก “กิจกรรมการสะสมข่าวปลอมในเฟซบุ๊ก” ได้

และจากการค้นหาคำว่า “Hobby” ในฐานข้อมูลวารสารออนไลน์ ผมยังพบปรากฏการณ์หนึ่งคือ คนใช้คำว่า Hobby เป็นคำสำคัญในบทความวิชาการไม่มากนัก แต่ยังใช้คำอื่นๆ ที่คล้ายกันเช่น Leisure (เวลาว่าง – คำนี้มีคนใช้บ่อย) Creative activities (กิจกรรมสร้างสรรค์) และ Interest (ความสนใจ)

สิ่งที่น่าสังกตคือ “เวลา” ในคำว่า Leisure แตกต่างจาก free time ตรงที่ เวลาของ Leisure นั้นเอาไว้ทำสิ่งที่เพลิดเพลินด้วย การทำอะไรในเวลาว่างนี้ จึงมีแนวโน้มเป็นงานอดิเรก ขณะที่ free time หมายถึงตัวเวลาว่างเฉยๆ

ในสารานุกรม ยังบอกว่า มีคนแบ่งประเภทของการทำสิ่งเพลิดเพลินในเวลาว่างออกเป็น 3 แบบ คือ

  • เวลาว่างที่ใช้ผ่อนคลายแบบเรื่อยๆ (causal leisure) เช่น การดู Netflix ไถเฟซบุ๊กไปเรื่อยๆ นอนกลางวัน อยู่ในข่ายนี้
  • เวลาว่างที่ใช้ทำสิ่งที่สนใจจริงจัง (serious leisure) การจัด Podcast วาดภาพเมือง การสะสมแร่แบบแฮงค์ใน Breaking Bad หรือการสร้างสนามรบจำลองของแฟรงค์ อันเดอร์วูด ใน House of Card อยู่ในข่ายนี้
  • เวลาว่างที่เอาไว้ทำโครงการที่เสร็จเป็นช้ินๆ (project-based leisure) เช่น การทำหุ่นยนต์ (ที่ไม่ใช่ส่งงานอาจารย์) การทำสารคดี อยู่ในข่ายนี้

ดังนั้น serious leisure จึงน่าจะเป็นไวพจน์ ของ hobby นั่นเอง

คำถามทิ้งท้ายให้คิดต่อ: งานอาสาสมัคร การออกกำลังกาย การปฏิบัติธรรม การเล่นโยคะ เป็นงานอดิเรกหรือไม่ เพราะเหตุใด

เอกสารอ้างอิง
https://en.wikipedia.org/wiki/Hobby

ศิลปินคนหนึ่งที่ BACC ใช้เวลาว่างงีบหลับในร้านของเพื่อน จัดเป็น Causal leisure (มั้ง)

ป.ล. ช่วงนี้ใช้ wikipedia อ้างอิงไปก่อนนะ ตอนทบทวนวรรณกรรม จะหาแหล่งอ้างอิงหรูๆ มาเพิ่มให้

งานอดิเรกคืออะไร (1)

“งานอดิเรกของคุณคือ…”

นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เห็นช่องกรอกประวัติด้วยคำถามเกี่ยวกับงานอดิเรก จำได้ว่าตอนเด็กๆ ต้องตอบคำถามนี้บ่อยๆ ในแบบเรียนภาษาอังกฤษ ใบสมัครเข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียนอะไรสักอย่าง หรือใบสมัครเข้าร่วมโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน 

เมื่อโตขึ้น ผมไม่ต้องตอบข้อนี้ในใบสมัครมากนัก ดูเหมือนวัยผู้ใหญ่ เราต้องทำอะไรที่เป็นการเป็นงานมากขึ้น และเล่นน้อยลง

ผมมีงานอดิเรกสองสามอย่าง การวาดรูป การจัดรายการรีวิวหนังสือ บางช่วงเขียนเรื่องสั้น เขียนนิยาย หรือนิทาน บางช่วงถ่ายรูป จัดดอกไม้ เล่นหมากรุก หมากล้อม ทั้งหมดนี้เดี๋ยวเล่นเดี๋ยวเลิก เป็นธรรมดาชองบางคนที่ค้นหาความชอบความถนัดไปเรื่อย 

แม้ความรื่นรมย์ยังเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้

ถึงจุดหนึ่ง เราปรารถนาทำในสิ่งที่เราชอบ ให้ความสุขแก่เรา แม้ว่าสิ่งที่ทำนั้นจะไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือไม่มีเหตุผลยืนยันหนักแน่นให้ต้องทำ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมีเวลา มีทุน มีเงื่อนไขเพียงพอที่จะทำสิ่งนั้นหรือไม่

หากพิจารณาองค์ประกอบของงานอดิเรก จากในพจนานุกรม 4-5 เล่ม (American Heritage, Oxford, Longman, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน) เราอาจจำแนกได้ว่า งานอดิเรกมีองค์ประกอบ 4 อย่าง ได้แก่

  1. เป็นกิจกรรมที่ทำยามว่าง
  2. ทำแล้วเพลิดเพลินรื่นรมย์
  3. ให้เวลากับกิจกรรมนี้ มีการทำซ้ำ ทำบ่อย
  4. ไม่ใช่งานเพื่อการเลี้ยงชีพ

ถึงจุดนี้ หลายคนอาจบอกว่าการดู Netflix คืองานอดิเรกของเขา ผมเองยังไม่ค่อยแน่ใจว่าการนอนดูซีรีย์เป็นงานอดิเรกหรือไม่ ผมยังคิดว่างานอดิเรกน่าจะมีองค์ประกอบของการสร้างสรรค์ การลงมือ หรือการผลิตอะไรบางอย่างด้วย แต่นี้เป็นการคิดเอา ยังต้องค้นคว้าเพิ่มอีกเยอะ

การจะทำความเข้าใจนิยามงานอดิเรกให้ชัด เราอาจต้องศึกษาแง่มุมทางประวัติศาสตร์ของคำๆ นี้ น่าสนใจว่างานอดิเรกเกิดขึ้นครั้งแรกในโลกเมื่อไหร่ ภาพเขียนผนังถ้ำชิ้นแรกคืองานอดิเรกของมนุษย์ยุคหินหรือไม่ การคิดค้นทฤษฎีใหม่ๆ ทางคณิตศาสตร์เป็นงานอดิเรกของนักวิทยาศาสตร์ในยุคปฏิวัติวิทยาศาสตร์หรือเปล่า เราเรียกการปฏิบัติธรรมหรือการฝึกโยคะเป็นงานอดิเรกที่ด้วยไหม

ผมเองก็ยังไม่รู้ คงต้องติดตามต่อไป


ป.ล. ผมเพิ่งขึ้นทะเบียนเรียนต่อ ป.เอก สนใจศึกษาเรื่องงานอดิเรกนี่ล่ะครับ ว่าจะทำวิทยานิพนธ์เป็นงานอดิเรก

ธีมกับร้านตามสั่ง

ระหว่างรอข้าวกลางวัน ผมวาดภาพบรรยากาศในร้านตามสั่งตามเคย นี่มิใช่ครั้งแรกที่ผมสเก็ตช์ภาพในร้านแห่งนี้ ใครบางคนสังเกตเห็นผมกำลังสเก็ตช์ จึงส่งเสียงใสทักทาย

“ว้าว วาดเสร็จก่อนอาหารมาเสียอีก” ลูกสาวเจ้าของร้านทัก
ผมยิ้มรับ
“คราวที่แล้วหนูเอาภาพให้ลูกดู เขาบอกว่าพี่เป็นไอดอลของเขาเลย”
“โอ้ ขนาดนั้นเลยเหรอคร้บ”

แม่ของเธอ – เจ้าของร้านตามสั่ง เดินมานั่งใกล้ๆ เธอมาสมทบวงสนทนาพร้อมกินข้าวกลางวันไปพลาง บอกว่าหลานคนหนึ่งก็เรียนสถาปนิก แต่ไม่ค่อยได้สเก็ตภาพเช่นนี้แล้ว ส่วนใหญ่จะวาดแปลนอาคาร เรียนแล้วเครียดนอนดึก น่าสงสาร

เธอถามว่า ผมวาดเยอะไหม (เยอะ) วาดแล้วจะเอาภาพไปทำอะไร

“ก็อาจจะทำหนังสือ หรือจัดนิทรรศการครับ พอมีภาพวาดเยอะๆ ก็จะจัดแสดงงานได้ตามธีมที่อยากนำเสนอ”
“ธีมคืออะไร ฉันเห็นคนเขาพูดกันบ่อยๆ ป่านนี้ยังไม่เข้าใจ”
“ผมคิดว่า ธีม คือ สิ่งที่ศิลปินอยากนำเสนอ ซึ่งเป็นจุดร่วมของการแสดงผลงานครั้งนั้นๆ ครับ อย่างเช่น การจัดแสดงนิทรรศการครั้งนี้ผมเลือกธีม ‘ร้านอาหารตามสั่งในกรุงเทพ’ ผมก็จะไปค้นดูว่าในคลังภาพของผมมีร้านอาหารตามสั่งบ้างไหม (แน่นอนว่ามีเยอะ) ผมก็คัดเลือกภาพที่เหมาะสม เอามาจัดแสดงนิทรรศการภาพวาดร้านอาหารตามสั่ง”

เธอดูพอใจในคำตอบ จึงยังชวนคุยอีกหลายคำ แถมยังขอถ่ายภาพวาดไว้โชว์ญาติคนอื่นๆ ในไลน์ แล้วอาจจะอัดรูปใส่กรอบ เอาแปะข้างฝา

แม้จะรู้สึกเป็นเกียรติ แต่ผมกลับนึกถึงคำเตือนเกี่ยวกับการขออนุญาตใช้ภาพสเก็ตช์ในตำราฝรั่ง หนังสือบอกไว้ว่า ภาพที่ศิลปินสร้างสรรค์ขึ้นเป็นสมบัติของศิลปิน ไม่ควรยอมให้คนอื่นใช้ภาพโดยไม่ได้อนุญาต แต่ในเหตุการณ์ที่เพื่อนบ้านกำลังชื่นชมงานศิลปะด้วยความรื่นรมย์ ผมจะหักหาญน้ำใจของพวกเธอได้อย่างไร

ในโมเมนท์นี้ ศิลปะเป็นเรื่องของการแบ่งปัน อันที่จริง เจ้าของร้านเองก็แบ่งปันฉากและชีวิตให้ผมเช่นกัน พวกเธอยินยอมให้ผมบันทึกลายเส้นและสีสันแห่งชั่วขณะลงในกระดาษ ผมเองยังน่าจะมอบภาพโปสการ์ดใบนี้เป็นที่ระลึกในร้านเลยด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อพวกเธอไม่ได้เอ่ยปาก ภาพ “ครัวนายตู๋” จึงยังคงเป็นของผมในวันนี้

Soft Power คืออะไร

จากบทความ Sketching as Soft Power มันมีบางอย่างที่ผมตะหงิดอยู่นิดๆ การวาดรูปนั้นเป็นกิจกรรมที่ ‘ซอฟท์’ ก็จริง แต่การวาดภาพจะเป็นปฏิบัติการเชิงอำนาจได้จริงๆ หรือ บางทีผมอาจด่วนสรุปเกินไปหน่อย ผมจึงไปค้นที่มาของคำว่า Soft Power ต่ออีกนิด

เพียงพิมพ์คำว่า Soft Power ในวิกิพีเดีย ผมพบชื่อ Joseph Nye ผู้เป็นเจ้าของแนวคิด Soft Power เขากล่าวว่า อำนาจมีอยู่สองประเภท คือ Soft Power (อำนาจอย่างอ่อน) และ Hard Power (อำนาจอย่างแข็ง) เมื่อพูดถึงอำนาจ เราหมายถึงการมีอิทธิพลเหนือ เพื่อควบคุม เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของอีกฝ่ายหนึ่งให้เป็นอย่างที่เราต้องการ


Hard Power ถ้าจะเรียกว่า “ไม้แข็ง” ก็ไม่ผิดนัก การข่มขู่ด้วยอาวุธ (หรือแสนยานุภาพในระดับมหัพภาค) การใช้เงิน (หรืออำนาจทางเศรษฐกิจ) อยู่ในข่ายที่เป็น Hard Power

ส่วน “ไม้อ่อน” อย่าง Soft Power นั้น คุณ Nye แจกแจงไว้ว่ามีสามประการคือ วัฒนธรรม ค่านิยมทางการเมือง และนโยบายต่างประเทศ แนวคิดนี้ คุณ Nye เสนอไว้ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980

แม้จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงช้ากว่า แต่การใช้ Soft Power นั้นเป็นอำนาจที่แนบเนียนลึกซึ้งกว่า อยู่ได้นานกว่า และมีแนวโน้มจะได้รับการยอมรับ ลองคิดดูว่า ค่านิยมทางการเมืองเช่น ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ปัจเจกชนนิยม ค่านิยมเหล่านี้ซึมลึกเพียงใดเมื่อมันอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คน แต่ Nye ก็ออกตัวว่า Soft Power เป็นอำนาจที่ควบคุมผลลัพธ์ได้ยาก การใช้อำนาจอย่างอ่อนจะได้ผลหรือไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมของนโยบาย ทั้งยังต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลลัพธ์

ดังนั้นแล้ว คำว่า Soft Power จึงมีนัยทางการเมืองระดับมหัพภาค หรือในระดับโลกอยู่มาก การหยิบยืมคำว่า Soft Power ในเวอร์ชันของ Nye มาบอกว่า การสเก็ตช์คืออำนาจอย่างอ่อน จึงดูใช้ข้ามระดับการใช้งานอยู่สักหน่อย เมื่อพิจารณาแง่มุมทางประวัติศาสตร์ของคำ

อย่างไรก็ตาม หากเรามองว่า การสเก็ตช์ คือวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เช่น ทำให้คนกลับมาเชื่อมโยงกับชุมชนมากขึ้น ทำให้การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในที่สาธารณะดีขึ้น ทำให้คนสังเกตความเปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองของตัวเอง หรือทำให้วัฒนธรรมการชื่นชมความงามแผ่ขยายมากขึ้น 

ดังนั้นแล้ว ก็ใช่เลยครับ การสเก็ตช์คือปฏิบัติการของ Soft Power จริงๆ

วงดุริยางค์ทหารบกในงานฉลองวันเกิดเจ้าอาวาส 2019-1-11

Sketching as Soft Power

เอกภพ สิทธิวรรณธนะ

วารสาร Drawing Attention เดือนกุมภาพันธ์ พูดถึงประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับงานสเก็ตช์ว่า การวาดเมือง (Urban Sketching) คือการแสดงออกซึ่งเป็นพลังอย่างอ่อน (Soft Power)

แคทเธอรีน ฟรานซิส (Catherine Françis) นักวาดเมืองแห่งสตุ้ตการ์ด (USk Stuttgart Chapter) กล่าวว่า เธอไม่ค่อยสนใจวาดวิวสวยๆ หรือภาพสถานที่สำคัญ แต่ให้ความสนใจกับสถานที่คนไม่ค่อยสนใจวาด เช่น ภาพสถานที่ที่กำลังก่อสร้าง สถานีขนส่งที่มีคนพลุกพล่าน สถานที่ที่มีคนเคลื่อนไหว นั่นเป็นเพราะเธอวาดภาพกิริยาของฝูงชนได้

“การวาดคือการแสดงออกทางการเมือง” แคทเธอรีนว่า “เรากำลังบันทึกการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง และด้วยการภาพแนว Reportage (รายงานข่าว) นี้เอง ทำให้เธอเห็นเมืองในมุมที่แตกต่างออกไป สถานที่บางแห่งมีศักยภาพที่จะทำให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงของเมืองอย่างมาก” 

เราสามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของเมืองได้ทั้งจากขณะที่เรามาวาดภาพในช่วงเวลาที่เปลี่ยนไป และจากหลักฐานในภาพวาดของเราในอดีตเมื่อเทียบกับภาพสถานที่จริงในปัจจุบัน 

แคทเทอรีนและผองเพื่อนที่วาดภาพแนวเดียวกันในเมืองสตุตการ์ด ยังได้รับเชิญจากเทศบาลเมืองบาร์เซโลนา ให้จัดแสดงนิทรรศการ ‘Soft Power Palace’ ซึ่งสะท้อนแนวคิดของ Joseph Nye ที่กล่าวว่า “การจัดหรือการร่วมในกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม คือการแสดงออกทางการเมืองอย่างหนึ่ง” 

แน่นอนว่า การวาดภาพสิ่งใดสิ่งหนึ่งในเมือง คือการบันทึกประวัติศาสตร์ของเมืองในมุมมองของผู้วาด แม้ภาพวาดจะสะท้อนความจริงไม่ได้ทั้งหมด (แต่เราจะกล่าวได้อย่างแน่ใจสักเพียงใดว่าภาพถ่ายสะท้อนความจริงได้ครบถ้วนและปราศจากอคติ) ภาพวาดนั้นยังบรรจุมุมมองของผู้วาด รวมทั้งอารมณ์ความรู้สึกของผู้บันทึก ภาพสเก็ตช์ที่สวยงามยังมีความน่าดึงดูด มีมิติสุนทรียภาพ นอกจากนี้ ผู้รับชมภาพยังได้รับเมสเสจที่ว่า “วัตถุที่ถูกวาด กำลังมีคนจับตาดูอยู่”

ไม่แน่ว่า ภาพสเก็ตช์ อาจเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ช่วยยกสำนึกความเป็นพลเมือง แม้ว่าในปัจจุบัน การวาดภาพมักอยู่ในพื้นที่ของความรื่นรมย์และงานอดิเรกก็ตาม

บรรยากาศการเลือกตั้ง สส. ปี 2562 ณ Central Park (Rama II) 2019-3-17

เอกสารอ้างอิง

Reflection: International Roundtable on Buddhist Psychology, Psycho-Spiritual Counseling, and Chaplaincy Training

สองสามวันนี้ ผมได้มีโอกาสได้ไปเข้าร่วมเวิร์คชอปและการประชุมของ INEB ได้สนทนากับพระญี่ปุ่น อเมริกัน พม่า และประเทศไทยกว่าสิบท่าน เราคุยกันถึงบทบาทของพระสงฆ์ต่อสังคม ในเรื่องการป้องกันการฆ่าตัวตาย การบำบัดผู้ติดยาเสพติด และการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายให้จากไปอย่างสงบ

เรื่องราวในที่ประชุมนั้นหลากหลาย เราฟังและคุยตั้งแต่เช้าจรดเย็น ช่วงพักกลางวันเขาให้พัก พระคุณเจ้าก็จับกลุ่มคุยกันอีก เรื่องที่คุยที่ฟังก็หนักหนาสาหัส เราคุยถึงเรื่องความทุกข์ การแก้ทุกข์ อุปสรรคในการแก้ทุกข์ แต่ในระหว่างทาง เราเห็นนวัตกรรมในการแก้ปัญหา และเห็นความกรุณาที่ทำงานอย่างเต็มกำลัง ในความทุกข์และการเผชิญความทุกข์ร่วมกันนั้นมีความงามอันเจิดจรัส

เรื่องเด่นๆ คือ การทำงานของพระญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันถูกลดบทบาทความสำคัญลงไปมาก การเกิดขึ้นของรัฐฆราวาสสมัยใหม่ทำให้พระสงฆ์มีบทบาทจำกัดอยู่เพียงผู้ทำพิธีศพ (ซึ่งชาวญี่ปุ่นสะท้อนว่าแพงมาก) พระส่วนใหญ่ไม่ได้ปฏิบัติ แต่กลุ่มพระที่มาประชุมเห็นบทบาทของท่านเองว่าสามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น พระสงฆ์ต่างนิกายพยายามบรรเทาปัญหาฆ่าตัวตายด้วยวิธีต่างๆ เช่น การจัดตั้งกลุ่มบำบัด กลุ่มอาสารับฟัง การจัดกิจกรรมซ้อมตายให้ผู้มีภาวะซึมเศร้า รวมทั้งการออกแบบพิธีศพที่ช่วยเยียวยาครอบครัวที่สมาชิกในครอบครัวฆ่าตัวตาย ไม่นับความพยายามที่จะจัดสายด่วนรับฟัง การให้คำปรึกษาทางจดหมายหรืออีเมล และการเสนอความช่วยเหลืออื่นๆ

พระญี่ปุ่นท่านไม่ได้ฝึกอบรมมาทางนี้ แนวทางการให้ความช่วยเหลือให้คำปรึกษาในพื้นที่ทางจิตวิทยาก็มักอิงทฤษฎีจิตวิทยาสมัยใหม่ตะวันตก การที่พระสงฆ์จะเรียนรู้การให้คำปรึกษามาประยุกต์กับแนวทางพุทธมหายาน ต้องทำงานเชิงความคิดอีกมาก การขยายการให้บริการก็ยังต้องทำอะไรอีกหลายอย่าง พระญี่ปุ่นท่านหนึ่งลงทุนเปิดบริษัทพลังงาน หวังว่าจะนำกำไรมาบริหารองค์กรไม่แสวงหากำไรช่วยเหลือผู้คิดฆ่าตัวตาย เรื่องนี้นับว่าน่าอนุโมทนามาก 

อุปสรรคที่ต้องเผชิญคือ ภาพลักษณ์ของพระในญี่ปุ่นไม่ค่อยจะดีนัก ต้องหาทางปรับปรุงภาพลักษณ์ขนานใหญ่ เร็วๆ นี้เราอาจค่อยๆ เห็นภาพพระญี่ปุ่นในแง่บวกปรากฏในสื่อกระแสหลักหรือภาพยนตร์มากขึ้น เห็นท่านว่ารัฐบาลญี่ปุ่นกำลังจะลดสวัสดิการสังคมลง และสนับสนุนการให้ภาคสังคมเข้ามามีส่วนดูแลทุกข์สุขของประชาชนมากขึ้น ผมเองก็เห็นด้วยกับแนวทางนี้ แม้จะเป็นเหตุผลในทางเศรษฐกิจ แต่ในภาพกว้าง พระสงฆ์เองก็คงได้บ่มเพาะความกรุณา และพุทธศาสนาคงได้รับการประยุกต์มารับใช้สังคม มากกว่าบทบาทด้านพิธีกรรม

“ความกรุณา” เป็นคุณภาพที่ถูกหยิบยกพูดถึงในที่ประชุมบ่อยครั้ง เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่สังคมกำลังเห็นคุณค่าของความกรุณาในพื้นที่การทำงานต่างๆ มากขึ้นๆ การดูแลผู้ป่วยระยะท้าย การช่วยเหลือผู้คิดฆ่าตัวตาย และญาติที่สูญเสียสมาชิกจากการฆ่าตัวตาย รวมทั้งการช่วยเหลือผู้ติดยาเสพติด ล้วนอาศัยคุณภาพแห่งความกรุณาในการทำงาน หากไม่แล้วก็จะทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่ ทำได้ไม่ดี หรือแม้กระทั่งบาดเจ็บจากการช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม ในท่ามกลางการเข้าไปคลุกในวงล้อมแห่งความทุกข์ ความกรุณากลับเบิกบาน และนั่นเองที่ช่วยเติมพลัง ทำให้ทั้งผู้ช่วยเหลือและผู้รับการช่วยเหลือรู้สึกอบอุ่น ความสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นนั้นช่วยเยียวยาฟื้นฟูทั้งสองฝ่าย และนั่นคือความงามจากการทำงานกับกองทุกข์

ในช่วงท้ายของการประชุม เมื่อวงประชุมดำเนินมาจนถึงประเด็นที่ค่อนข้างตีบตันว่า การสนับสนุนให้พระสงฆ์กลับมามีบทบาทในเชิงจิตวิญญาณนั้นเป็นเรื่องยาก เรากำลังทำงานกับสถาบันที่ทำงานด้วยได้ยาก และสังคมก็ยังไม่ค่อยเปิดรับท่านมากนัก พระไพศาลเองกล่าวได้น่าสนใจว่า การสนับสนุนสุขภาวะทางจิตวิญญาณในสังคมนั้น ควรให้มิติทางจิตวิญญาณเติบโตในทุกหนทุกแห่ง ไม่เพียงด้านการเยียวยาด้านสุขภาพ หากรวมถึงสิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม และอื่นๆ การแก้ปัญหาสังคมโดยขาดการปฏิบัติทางจิตวิญญาณ (น่าจะหมายถึงการเจริญสติ การเท่าทันความคิด รู้ใจตนเอง การบ่มเพาะความเมตตา การรักษาศีล เป็นต้น) จะทำให้ท้อง่าย เครียด หมดพลัง

ได้ยินดังนั้น วงประชุมจึงได้ยินเสียงระฆัง ได้หลับตา ตามลมหายใจ อยู่กับเนื้อกับตัว

การประชุมครั้งนี้ สิ่งสำคัญคงไม่ใช่เนื้อหา หากแต่ยืนยันได้ว่า ในที่แห่งหนึ่ง และในอีกหลายๆ แห่ง ยังมีพุทธบริษัทยังคิดถึงผู้เผชิญความทุกข์ หาวิธีที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือให้พวกเขาพ้นจากทุกข์ หวังว่าทุกคนจะมีชีวิตที่ดี และอยู่กันด้วยความกรุณาและสันติ

ขอบคุณ Jon Watt ที่อนุญาตให้มานั่งฟัง หมอประเวช ตันติพิวัฒนสกุล ที่ส่งข่าวเชิญชวน ขอบพระคุณพระสงฆ์ทุกรูปที่แบ่งปัน หวังว่าคราวหน้าผมจะแบ่งปันความรู้ได้ดีขึ้น กลับจากที่ประชุมจึงตระหนักได้ว่าเรายังอ่อนเรื่องการพูดภาษาอังกฤษไปหน่อย มิฉะนั้นคงทำตนเป็นประโยชน์กับที่ประชุมมากกว่านี้

International Roundtable on Buddhist Psychology, Psycho-Spiritual Counseling, and Chaplaincy Training
เรือนร้อยฉนำ สวนเงินมีมา 
March 13-15, 2019

Hosted by
The International Network of Engaged Buddhists (INEB)

Sponsored by
Japan Network of Engaged Buddhists (JNEB)
Siam Network of Engaged Buddhists (SNEB)

ภาพประกอบ รวมคำที่ปรากฏบ่อยๆ ในที่ประชุม